วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เจดีย์องค์ใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหงสาวดีในเขตราชวังบุเรงนอง มีอายุมากกว่า 2,000 ปี




พระเจดีย์ชเวมอดอ มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยมอญ  มีตำนานเล่าขาน กล่าวไว้เป็นเรื่องราว ว่าเมื่อครั้งยุคสมัยของมอญ มีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ ราชาธิราช ได้ยกทัพไปตีเมืองย่างกุ้ง ได้ไปพบเห็นแม่ค้าขายน้ำมันสาวสวย จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจกษัตริย์ราชาธิราชยิ่งนัก แต่นางผู้นี้แต่งงานมีสามีแล้วแต่กษัตริย์ราชาธิราชก็ไม่ได้สนใจเลย และได้ลงมือฆ่าสามีของนาง เพื่อที่จะได้นางมาครอบครอง และได้พานางกลับมายังรัฐมอญ  มเหสีของกษัตริย์ราชาธิราชทราบเรื่องเช่นนั้นแล้ว ก็มิได้เห็นดีเห็นงามในการกระทำของกษัตริย์ราชาธิราชเลย  ได้ต่อว่ากษัตริย์ราชาธิราชผิดศีลข้อกาเม เป็นถึงกษัตริย์ไม่รู้หรือว่าการกระทำไม่ดี แต่กษัตริย์ราชาธิราชก็มิได้เชื่อฟังแต่อย่างได มเหสีแสดงอาการโกรธเคืองกษัตริย์ราชาธิราชเป็นอย่างมาก   จึงเมื่อถึงเวลา ออกว่าราชกาลมเหสี ก็ไม่ได้ออกมาว่าราชกาลร่วมกับกษัตริย์ราชาธิราช จนกษัตริย์ราชาธิราชไม่พอใจจึงได้ฆ่ามเหสีต่อหน้าพระโอรส  เมื่อครั้ง โอรส อายุได้ 5 ขวบเท่านั้นเอง โอรสได้เห็นเหตุการณ์ที่พ่อฆ่าแม่ตัวเอง ก็เลยจำฝังใจเอาไว้  เก็บความแค้นไว้ในใจ จนกระทั่งถึงอายุ 16 ปี ก็ยังคงแค้นอยู่เช่นเดิม  เสนาผู้ใกล้ชิดกษัตริย์ราชาธิราชเห็นการเช่นนั้น ก็ได้กราบทูลกษัตริย์ว่า หากฆ่าแม่แล้วก็ต้องฆ่าลูกด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาแน่นอน  โอรสจึงถูกจับตัวมาเพื่อรอการประหาร แต่โอรสไม่ได้เกรงกลัวต่อความตายแต่อย่างไดเลย แต่ก่อนที่จะถูกประหารนั้น โอรส ได้ขออธิษฐาน 1ประการ นั่นคือ ขอให้เป็นศัตรูกับพ่อทุกชาติไป เสนาได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แจงความไปยังกษัตริย์ เมื่อกษัตริย์ราชาธิราชได้ยินเช่นนั้น ก็ได้มาที่ลานประหารตรงนั้น ได้ทำการถอดมงกุฎลงสวมไว้ที่ตรงนั้น และอธิษฐานไว้ว่า ขอให้ชนะทุกชาติไป  เวลาผ่านไปอีกชาติหนึ่งได้ไปเกิดที่เมืองอังวะ และได้ยกทัพมาตีเมืองหงสาวดี  จึงมีเหตุการณ์ อังวะกับหงสาวดี ยกทัพตีกันนานถึง 40 ปี ในช่วงเวลาที่รบกันนั้น โอรสได้ถูกจับตัวมา กษัตริย์เห็นเด็กคนนี้แล้วไม่อยากฆ่า เลยสั่งให้ ปุโรหิตมาดูดวงให้ ปุโรหิตได้ทำการดูเสร็จแล้ว กราบทูลกษัตริย์ว่า ชาติก่อนนั้นเด็กคนนี้เป็นโอรสของท่าน กษัตริย์ราชาธิราชได้ทราบความนั้นแล้วจึงไม่อยากฆ่าและขอให้อยู่เสียที่นี่  แต่เด็กคนนี้ไม่ยอมอยู่ยอมตายแต่ยอมแพ้จึงถูกฆ่าตายในที่สุด
อีกหนึ่งสิ่งที่มาเที่ยวพม่าแล้ว ต้องไม่ลืมนึกถึง  คือ ทานาคา
ทานาคา คือชื่อ ต้นไม้สมุนไพร ชนิดหนึ่ง ที่ชาวพม่า นำมาใช้ทาหน้า เพื่อกันแดด กันฝ้า และรักษาสิว  ที่ประเทศพม่าใช้ แป้งทานาคา จนกลายเป็นวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ประจำชาติเลยก็ว่าได้

ต้นทานาคา เป็นไม้สมุนไพร คือได้ว่า เป็นพืชเศรษฐกิจของ อีกชนิดหนึ่งของพม่า  นิยมปลูกมากที่หมู่บ้านหยงยั๋ว เมืองสกาย ติดกับเมืองมัณฑะเลย์  ด้วยสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกพืชชนิดนี้ จึงนิยมปลูกในพื้นที่นี้เป็นส่วนมาก  แต่แหล่งผลิต และแปรรูปทานาคา ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ชาวสกายส่วนมากจึงนำต้นทานาคา  ส่งมาขายที่โรงงานเมืองมัณฑะเลย์
ลักษณะของ ทานาคา มีออกมาหลายรูปแบบ
  • ทานาคาที่ยังไม่แปรรูป จะมีลักษณะเป็นท่อนไม้  ขนาดพอมือจับถนัดเพื่อสะดวกต่อการใช้งาน   นิยมนำมาฝน กับหินฝนทานาคา  หรือภาษาพม่า เรียกว่า เจ้าเปี่ยง  ทำมาจากหินอ่อนธรรมชาติ

ต้นทานาคา ที่ดีและมีคุณภาพที่สุด ต้องมีอายุ 11-12 ปี จึงจะถือว่าเป็นไม้ที่มีคุณภาพ  ส่วนมากจะนำมาตัดขายเป็นท่อนๆ  ที่เราสามารถเห็นได้ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของพม่า  ไม้ทานาคา ที่มีเปลือกหนา นั่นหมายถึงเป็นไม้ที่แก่ มีคุณภาพ เวลาเอามาฝนจะได้เนื้อแป้งเยอะ  ฉะนั้น เวลาเลือกไม้ทานาคา จะต้องเลือกที่เปลือกหนาๆ นะคะ

  • ทานาคา ที่แปรรูป สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  อยู่ในกระปุกบรรจุภัณฑ์สวยงาม  สะดวกต่อการใช้งาน  ไม่จำเป็นต้องพก ท่อนไม้ และหินฝน ไปไหนมาไหนด้วย
ทานาคา สำเร็จแบบนี้   ผลิตจากเปลือกต้นทานาคา  ที่นำไปผ่านขั้นตอนการผลิตจากโรงงาน และออกมาใน รูปแบบ บรรจุภัณฑ์
ท่านที่มีโอกาสได้ไปเที่ยว ประเทศพม่า จะอยากหาซื้อทานาคา สามารถเลือกซื้อได้หลายที่ค่ะ  ที่ย่างกุ้งก็จะมีที่ตลาดสก็อต แต่ก็มีให้เลือกไม่มากนัก  ส่วนที่ หงสาวดี ก็มีหลายที่ เช่น พระนอนชเวตาเลียว และพระเจดีย์ไจ้ปุ่น
ท่านไหน ที่มีปัญหาเรื่องสิว เรื่องฝ้า ก็ลองไปเที่ยวพม่าและหาทานาคา มาลองใช้ดูนะคะ ถือเป็นสินค้าแนะนำเลยค่ะ
  • ทานาคา ที่แปรรูป สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  อยู่ในกระปุกบรรจุภัณฑ์สวยงาม  สะดวกต่อการใช้งาน  ไม่จำเป็นต้องพก ท่อนไม้ และหินฝน ไปไหนมาไหนด้วย
ทานาคา สำเร็จแบบนี้   ผลิตจากเปลือกต้นทานาคา  ที่นำไปผ่านขั้นตอนการผลิตจากโรงงาน และออกมาใน รูปแบบ บรรจุภัณฑ์
ท่านที่มีโอกาสได้ไปเที่ยว ประเทศพม่า จะอยากหาซื้อทานาคา สามารถเลือกซื้อได้หลายที่ค่ะ  ที่ย่างกุ้งก็จะมีที่ตลาดสก็อต แต่ก็มีให้เลือกไม่มากนัก  ส่วนที่ หงสาวดี ก็มีหลายที่ เช่น พระนอนชเวตาเลียว และพระเจดีย์ไจ้ปุ่น
ท่านไหน ที่มีปัญหาเรื่องสิว เรื่องฝ้า ก็ลองไปเที่ยวพม่าและหาทานาคา มาลองใช้ดูนะคะ ถือเป็นสินค้าแนะนำเลยค่ะ

อีกสิ่งหนึ่งเรื่องราวที่อยากจะ เล่าสู่กันฟังค่ะ
ท่านที่เดินทางมาถึงเมือง หงสาวดี  พลาดไม่ได้เลย กับการที่ต้องลิ้มลอง ความอร่อย ของ กุ้งแม่น้ำย่าง และน้ำพริกกุ้ง
กุ้งแม่น้ำที่เมืองหงสาวดี ส่วนใหญ่มาจากแม่น้ำหงสาวดี จากปากอ่าวหงสาวดี ชาวหงสาวดีที่มีอาชีพการประมง จะมีรายได้ จากการค้ากุ้งแม่น้ำ  กุ้งแม่น้ำที่นี่ ตัวใหญ่ รสชาติ ที่หอมหวาน ใครได้มาทานก็ติดใจ
ตามร้านอาหาร ที่เมืองหงสาวดี แต่ละร้าน ก็จะมีความแตกต่างกัน ทั้งลักษณะ หน้าตาที่นำมาเสริฟ และรสชาติ
ที่เป็นที่นิยมไปทานกัน คือร้าน  555 และร้าน  เจ้าสัว  ทั้ง 2 ร้าน มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง

ที่ร้านอาหาร 555 จะเสิร์ฟ มาในจานใหญ่ เรียงตัวเสียบไม้มาเลยค่ะ การเสียบไม้มานั้นก็ไม่ได้เป็นเคล็ดลับอะไรนะคะ แค่เขาไม่อยากให้เวลาย่าง กุ้งจะงอตัวมากจนเกินไป ทำให้เวลาแกะจะแกะลำบากนั่นเองค่ะ
ส่วนน้ำพริกกุ้ง ลักษณะ จะเป็นป่นๆมา มีส่วนผสมของ เนื้อกุ้งป่น  พริกแห้ง หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว  ทานง่าย รสชาติไม่ค่อยจัดจ้านเท่าไหร่  ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มากับทัวร์ ก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำพริกกุ้งกินกับไข่เจียวอร่อยที่สุด



ที่ร้าน เจ้าสัว จะเสิร์ฟมาแบบใส่จานใหญ่มีแต่กุ้งล้วนๆ  ส่วนหัวจะถูกตัดมาอย่างเรียบร้อยไม่มีส่วนที่แหลมเหลือไว้เลย ส่วนตัวจะผ่าลึกตรงกลางมา เพื่อความสะดวกในการทานมากขึ้น ดูจากหน้าตาแล้วน่ากินมากใช่มั้ยคะ
น้ำพริกกุ้ง ร้านนี้จะมาลักษณะแบบป่นละเอียด  ส่วนผสม กุ้งป่น พริกแห้ง หอมแดงทอด  แต่ลักษณธจะแตกต่างจากร้าน 555 ร้านเจ้าสัวนี้จะป่นกุ้งละเอียดมาก แต่พริกแห้งไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ ยังเห็นเป็นชิ้นพริกชัดเจน ส่วนหอมแดงทอด ก็ค่อนข้างจะละเอียด ปนเป็นเนื้อเดียวกัน



ที่มา - http://sprtour.com

ทัวร์พม่า   ทัวร์พม่า    ทัวร์พม่า    ทัวร์พม่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น