วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการเดินทางทัวร์พม่า 20-23 ธ.ค.55

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ ทริปนี้แอนเล็กจะพาไปทัวร์พม่าเส้นทางแสวงบุญนะค่ะ ที่ประเทศพม่า เพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับไทยเรามาตลอด เชิญไปร่วมทำบุญกันเลยค่ะ
กรุงเทพ – ย่างกุ้ง – หงสา – พระธาตุอินทร์แขวน
…ทริปนี้มีกำหนดการเดินทางตั้งแต่วันที่ 20 – 23  ธันวาคม 2555 นะค่ะ…

+++คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 5 โมงเย็น อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 7 เคาน์เตอร์ N สายการบิน MAYANMAR AIRWAYS จะมีเจ้าหน้าที่บริษัท SPiRiT OF THE WORLD และหัวหน้าทัวร์คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่ท่าน แล้วทำการเช็คอินและโหลดกระเป๋าสัมภาระ น้ำหนักกระเป๋าไม่เกินคนละ 30 กิโลกรัมนะค่ะ จากนั้นเชิญทุท่านผ่านกระบวนการตรวจคนออกเมือง และช็อปปิ้งใน KING POWER รอเวลาเข้า GAET ได้เลยค่ะ

+++เครื่องออกเวลา 19.25 นาที ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ในการเดินทางบินจากกรุงเทพ-ย่างกุ้ง เวลาที่ประเทศพม่าจะช้ากว่าบ้านเรา 30 นาที ไปถึงที่ย่างกุ้ง เวลา 20.05 นาที (เวลาพม่านะค่ะ)บนเครื่องบินที่นั่งจะเป็นแถวละ 6 ที่นั่ง ซ้าย-ขวา 2 ฝั่ง ฝั่งละ 3 ที่นั่ง พอเครื่องบินออกได้ไม่นานแอร์ก็จะมาเสิร์ฟอาหาร จะเป็นขนมปัง และขนมเค้ก พร้อมน้ำเปล่า น้ำผลไม้และกาแฟ




+++เมื่อ ถึงย่างกุ้งแล้วผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศพม่า  และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว  ไกด์ท้องถิ่นยืนรอรับคณะเราที่ประตูทางออกในทริปนี้ไกด์ท้องถิ่นที่จะมาดูแล เราชื่อ  “ไกด์แก้ว หรือ ลุงแก้ว” จากนั้นก็นำท่านไปร้านอาหาร  อยู่ในตัวเมืองย่างกุ้งใช้เวลาประมาณ 25 นาที  จากสนามบินเข้ามาในตัวเมืองร้าน PHAI LIN เป็นร้านอาหารไทยนะค่ะ  มื้อนี้อาหารก็จะอร่อยไม่แพ้บ้านเราเลยทีเดียวค่ะ มีส้มตำด้วย  มาลองชิมกันดูนะค่ะ ว่าจะอร่อยสู้บ้านเราได้ไหม


+++เมื่อทานอาหารกันอิ่มท้องแล้ว ทัวร์พม่าก็นำทุกท่านเข้าโรงแรมที่พัก YUZANA HOTEL ซึ่งก็อยู่ใจกลางเมืองใกล้กับพระมหาเจดีย์ชเวดากอง สามารถมองเห็นวิวพระมหาเจดีย์ยามค่ำคืนด้วยค่ะ แล้ววันพรุ่งนี้คณะเราจะขึ้นไปพักค้างคืนที่โรงแรมใกล้พระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งต้องนั่งเสลี่ยงขึ้นไป เพื่อความสะดวกให้ทุกท่านแยกเป็นกระเป๋าใบเล็กที่จะนำสิ่งของเครื่องใช้ไปนะค่ะ  สำหรับคืนนี้ก็ขอให้ทุกท่านหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ


****************************************************************************



+++อรุณสวัสดิ์ยามเช้านะค่ะ เช้าตรู่วันนี้อากาศเย็นสบาย เชิญทุกท่านรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งจะอยู่ชั้น 2 อาหารเช้าก็จะเป็นแบบบุปเฟ่ห์ เชิญทุกท่านเลือกได้ตามสบายเลยค่ะ หลังจากทานเสร็จแล้วให้ทุกท่านเช็คกระเป๋าสัมภาระก่อนขึ้นรถ และแยกกระเป๋าใบเล็กที่จะนำขึ้นไปใช้บนพระธาตุอินทร์แขวน เพื่อความสะดวกเวลานั่งเสลี่ยงค่ะ ส่วนกระเป๋าใบใหญ่ เราจะฝากไว้ที่โรงแรม เพราะคืนสุดท้าย คณะเราก็จะกลับมาค้างคืนที่โรงแรมนี้อีกคืนนะค่ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหงสาวดีกันเลยค่ะ ซึ่งจะอยู่จากย่างกุ้ง 80 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ
+++ก่อนเดินทางเข้าตัวเมืองหงสาวดีแวะนมัสการเจดีย์ไจ้ปุ่ นพระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงสร้างขึ้นในปี 1467เป็นวัดที่สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ไปทุกทิศ แทนความหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์พระเจดีย์ก่อเป็นแกนทึบรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง มีพระพุทธรูปนั่งสูง 30 เมตรประดิษฐานอยู่สี่ทิศ แทนองค์สมเด็จพระสมณโคดม (หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ) กับพระอดีตพุทธเจ้าอีกสามองค์ อันได้แก่ พระโกนาคมน์ (หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้) พระกุสันธะ (หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก) พระกัสสปะ (หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก) ซึ่งพระพุทธรูปกัสสปะนั้นชำรุดผุพังมาก เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวในปี 1930  และได้บูรณะขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2019มีตำนานเล่าว่าเจดีย์ไจ้ปุ่น สร้างโดยพระราชธิดาทั้งสี่องค์ของกษัตริย์มอญที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา สร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และสาบานตนไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ  หากคนใดคนหนึ่งแต่งงาน พระพุทธรูปก็จะพังลงมา  ต่อมาน้องสาวคนสุดท้อง กลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่น้องสาวคนสุดท้องสร้างไว้ก็พังทลายลงมา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบัน


+++จากนั้นเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกันเลยค่ะ เมืองหงสาวดี หรือ พะโค (อ่านออกเสียงตามสำเนียงพม่าว่า หานตาวดี) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Bagoหรือ Peguในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของสหภาพพม่ามาก่อน ตั้งอยู่ใกล้เมืองเมาะตะมะ ทางตอนใต้ของประเทศพม่าซึ่งอยู่ทางใต้ของ เมืองแปร เมืองคัง ยะไข่ อังวะ พุกาม นครหงสาวดีเป็นเมืองหลวงของเขตหงสาวดี ๆ เป็นเมืองของชาวมอญมาก่อนในอดีต พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ยึดครองได้และสถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู ทัวร์พม่า หงสาวดีเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง  พระองค์ให้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ที่ชื่อ กัมโพชธานี ซึ่งนับเป็นพระราชวังใหญ่โตมีประตูทางเข้าออกถึง 10 ประตู สร้างโดยเกณฑ์ข้าทาสจากเมืองขึ้นต่างๆ โดยหนึ่งในนั้นมีเมืองเชียงใหม่และอยุธยารวมอยู่ด้วย
+++นำท่านสักการะ เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือ พระธาตุมุเตา ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ใจกลางเมืองหงสาวดี พระเจดีย์องค์นี้ถือว่ามีความโดดเด่นในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า และยังเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดของชาวพม่า นอกจากนี้มหาเจดีย์ชเวมอดอร์ ยังเคยผ่านการพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง โดยแผ่นดินไหวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ก.ค. พ.ศ. 2473 ได้ทำให้ปลียอดของเจดีย์องค์นี้หักพังลงมา แต่ว่าด้วยความศรัทธาที่ชาวเมืองมีต่อเจดีย์องค์นี้ พวกเขาได้ทำการสร้างเจดีย์ชเวมอดอร์ขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ.2497 ด้วยความสูงถึง 374 ฟุต (ตอนแรกที่สร้างสูง 70 ฟุต) นับเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า ส่วนปลียอดที่พังลงมาก็ได้ตั้งไหว้ที่มุมหนึ่งขององค์เจดีย์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาควบคู่ไปกับเจดีย์องค์ปัจจุบัน


+++หลังสักการะพระธาตุมุเตาแล้ว นำทุกท่านไป วัดไจ้คะวาย ซึ่งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษากว่า 1,000 รูป อีกทั้งวัดนี้ยังเป็นสถานศึกษาธรรมของพระและสามเณรอีกด้วย


+++ จากนั้นนำท่านไปทานอาหารกลางวันที่ร้าน 555 อยู่ในตัวเมืองหงสาวดีเลยค่ะ และมื้อนี้มีกุ้งย่างแม่น้ำ เป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี้เลยค่ะ ว่ากันว่าถ้ามาที่เมืองหงสาแล้ว ไม่ชิมไม่ได้เลยค่ะ


+++หลังจากอิ่มท้องแล้วนำทุกท่านเดินทางสู่ คิมปูนแค้มป์ (เชิงเขาไจ้เที่ยว) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เดินทางถึง คิมปูนแค้มป์ หยุดพักเปลี่ยนรถ ทัวร์พม่าเป็นรถบรรทุกหกล้อ เพื่อขึ้นบนภูเขาไจ้เที่ยว (ใช้เวลาเดินทางจากบริเวณนี้ประมาณ 45 นาที) ระหว่างทางผ่าน สะพานแม่น้ำสะโตง ในอดีตขณะที่สมเด็จพระนเรศวรกำลังรวบรวมคนไทยกลับอโยธยา ได้ถูกทหารพม่าไล่ตาม พม่าตามมาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ในขณะ ที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้วพระองค์ได้คอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้  ได้มีการปะทะกันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตงสมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนคาบชุดยาวเก้าคืบ ยิงแม่ทัพหน้าพม่าเสียชีวิตบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นขวัญเสีย จึงถอยทัพกลับกรุงหงสาวดี พระแสงปืนที่ใช้ยิงแม่ทัพพม่าตายบนคอช้างนี้ได้นามปรากฏต่อมาว่า “พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง” นับเป็นพระแสง อัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภคยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้


+++ท่านจะได้สัมผัสทัศนียภาพป่าเขาน้ำตกและลำธารอันสวยงามสองข้างทาง พร้อมสัมผัสอากาศเย็นซึ่งจะค่อย ๆ เย็นขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเรากำลังเดินทางสู่ที่สูง เดินทางจนเกือบถึงพระธาตุอินทร์แขวน หยุดเปลี่ยนรถจากรถบรรทุกเป็นเสลี่ยง จากจุดนี้นั่งเสลี่ยงขึ้นไปอีกประมาณ 45 นาทีโดยเสลี่ยงที่เรานั่งนั้นจะมีคนแบกเสลี่ยง 4 คน โดยไกด์จะแจกบัตรคิวท่านละ 1 ใบ และคนแบกเสลี่ยงก็จะมีหมายเลขคิวที่ตรงกับเรา มารับแล้วขึ้นไปส่งจนถึงโรงแรมข้างบนเขาค่ะ เมื่อเจอกับคนแบกเสลี่ยงที่มีหมายเลขตรงกันแล้วก็ขึ้นนั่งบนเสลี่ยงกันได้เลย


+++เมื่อถึงข้างบนเขาแล้ว นำทุกท่าน Chack In เข้าโรงแรมที่พักกันเสียก่อนแล้วค่อยออกมาพร้อมกันที่ LOBBY เพื่อจะไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวนพร้อมกันค่ะ คณะเราพีกที่  KYAIK  HTO  HOTEL


+++เมื่อมาพร้อมกันทุกท่านแล้วก็เดินไปที่พระธาตุอินทร์แขวนกันเลยค่ะ โรงแรมของเราอยู่ไม่ใกล้กับพระธาตุมากที่สุดค่ะ เดินไปไม่ไกลก็ถึงพระธาตุ


+++พระธาตุอินทร์แขวนนี้นับเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพุทธศาสนิกชนชาวพม่า เจดีย์ไจก์ทิโย (Kaiktiyo Pagoda) หรือในชื่อเรียกที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักคือพระธาตุอินทร์แขวน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร และเป็นที่มาและแรงบันดาลใจของกวีซีไรส์ ปี พุทธศักราช 2534 มาลา คำจันทร์ ที่แต่งวรรณกรรมเรื่อง “เจ้าจันทร์ผมหอม” นิราศพระธาตุอินทร์แขวน ท่านจะได้สัมผัสกลิ่นอายพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและบรรยากาศธรรมชาติที่สดชื่นและบริสุทธิ์ทั่วบริเวณอันกว้างขวางของลานพระธาตุอินทร์แขวนซึ่งให้ท่านได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติและนมัสการขอพรจากพระธาตุอินทร์แขวน เจดีย์นี้ตั้งอยู่ในเมืองไจก์โท่ (Kyaikhato) ที่อยู่ห่างจาก เมืองพะโค (หงสาวดี) ไปทางเหนือประมาณ 70 กิโลเมตร

+++พระธาตุอินทร์แขวน “ไจก์ทิโย” เมืองไจก์โถ่ รัฐมอญ เชื่อกันว่าพระอินทร์เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อนำเอาพระธาตุมาแขวนไว้ให้ผู้มีบุญมากราบไหว้ ใครได้มาสักการะก็เท่ากับได้ไหว้พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ และจะได้สั่งสมอานิสงส์ให้ไปเกิดร่วมยุคกับพระศรีอาริยเมตตรัย และผู้ที่มีบุญก็จะสามารถมองเป็นองค์พระธาตุลอยอยู่อย่างชัดเจน พระธาตุอินทร์แขวน เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะที่แปลกแตกต่างไปจากเจดีย์อื่นๆ คือเป็นลักษณะของก้อนหินที่ปิดทองไว้รอบๆ องค์เจดีย์ ตั้งวางอยู่บนปลายหน้าผาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หน้าผาสูงกว่า 1,200 เมตร สร้างตั้งไว้บนก้อนหิน สูงถึง 5.5 เมตร เส้นรอบวงของก้อนหินราว 17 เมตร มองดูคล้ายก้อนหินตั้งอยู่หมิ่นเหม่ใกล้จะตกลงมาเต็มที่


+++หลังจากนั้นนำทุกท่านไปทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งมื้อนี้จะเป็นอาหารแบบบุปเฟ่ห์ เชิญทุกท่านรับประทานตามอัธยาศัยหลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว สำหรับท่านใดที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนอีกครั้งก็ได้นะค่ะ เพราะที่วัดพระธาตุอินทร์แขวนจะมีผู้ที่มาสักการะอยู่ตลอดจนผู้ที่อาศัยนอนบริเวณวัด หรือท่านใดที่ต้องการพักผ่อนก็เชิญตามอัธยาศัยค่ะ


****************************************************************************


+++อรุณสวัสดิ์ยามเช้าค่ะ ตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณตี 4 นะค่ะ เช้านี้ก็จะนำท่านขึ้นมานมัสการพระธาตุอินทร์แขวนอีกครั้งก่อนที่จะกลับนะค่ะ บรรยากาศตอนเช้าอากาศก็จะค่อนข้างหนาว ประกอบด้วยเป็นที่โล่ง ลมพัดแรงจึงทำอากาศหนาวเย็นยิ่งขึ้น เช้ามืดอย่างนี้ก็จะเห็นพุทธศาสนิกชนทั้งชาวพม่า และชาวต่างชาติมากมายขึ้นมาสักการะพระธาตุ ลุงแก้วเล่าให้ฟังว่าถ้าเป็นคืนวันศุกร์และวันเสาร์ก็จะมีผู้คนมากมายมาที่นี่ค่ะ เนื่องจากเป็นวันหยุดด้วย


+++เชิญทุกท่านรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม จะเป็นอาหารบุปเฟ่ห์เช่นเดียวกับอาหารค่ำนะค่ะเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้ทุกท่านเก็บประเป๋าสัมภาระ และ Chack Out  จากโรงแรมที่พักให้เรียบร้อบ และจะมีคนแลกเสลี่ยงมารอรับที่หน้าโรงแรม ซึ่งจะเป็นกลุ่มเดิมที่มาส่งเราตอนขาขึ้นนะค่ะ จำหมายเลขที่ได้รับเมื่อวานกันได้ไหมค่ะ แต่ถ้าท่านใดจำไม่ได้หรือไม่ได้เก็บหมายเลขไว้ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะคนแบกเสลี่ยงจะจำเราได้อย่างแม่นยำ ขอเพียงว่าเราคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นพอค่ะ และขากลับลงไปข้างล่างก็กลับเส้นทางเดิมตอนขาขึ้นมานะค่ะ แต่จะใช้เวลาน้อยกว่า เพราะว่าขาขึ้นเขาจะชัน ทำให้เดินขึ้นได้อย่างช้าๆ เหมือนเป็นเจ้านางในหนัง พอขาลงก็ทำให้คนแบกต้องใช้กำลังขาอย่างมากเพราะเป็นทางลาดชัน เหมือนกับว่ากำลังเต้นท่ากัมนันสไตล์ ควบม้าลงมาเลยที่เดียว แต่ด้วยเข้าเชียวชาญ และชำนาญในการแบกของเจ้าถิ่น ก็ลงมาส่งเราที่จุดเปลี่ยนรถได้อย่างปลอดภัยค่ะ



+++เหมือนอย่างเช่นขามานะค่ะ หลังจากที่ลงจากเสลี่ยง คณะเราก็มาเปลี่ยนขึ้นรถหกล้อลงจากเขาอีกประมาณ 45 นาที เพื่อลงไปถึงเชิงเขาด้านล่าง และรถบัสของเราก็จะมารอรับทุกท่านที่เดิมเลยค่ะ


+++เมื่อลงมาถึงเชิงเขาแล้วก็เปลี่ยนมาขึ้นรถบัสและเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่เมืองหงสาวดีกันเลยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ในการเดินทางนะค่ะ เมื่อถึงที่เมืองหงสาวดี ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน นำทุกท่านมาที่ร้านอาหาร ทานอาหารกลางวันกันก่อนเที่ยวต่อ มื้อนี้ก็มีเมนูพิเศษ เป็นกุ้งแม่น้ำย่างอีกค่ะ ได้ทานทั้งขามา – ขากลับกันเลยทีเดียว ที่ร้านเจ้าสัว


+++จากนั้นนำท่านไปชม พระราชวังบุเรงนอง หากพูดถึงกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งของเมืองหงสาวดีก็ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดโดดเด่นเท่าพระเจ้าบุเรงนอง หงสาวดีเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง โดยพระองค์ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นในปี พ.ศ. 2109 ซึ่งพระราชวังเดิมนั้นเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และถูกจับเป็นตัวประกันในคราวนั้นหลังจากนั้นไม่นาน เมืองอังวะก็กลายมาเป็นเมืองหลวงของประเทศพม่าโดยสมบูรณ์ก่อนที่พม่าทั้งประเทศจะเสียเอกราชให้ประเทศอังกฤษต่อมาในปี พ.ศ. 2533 มีการค้นพบเสาและกำแพงเดิมที่ถูกฝังอยู่ในดิน รัฐบาลพม่าจึงได้ทำการขุดค้นและสร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยถอดแบบจากของเดิม ซึ่งบางส่วนได้สร้างแล้วเสร็จไป ส่วนอีกบางส่วนก็กำลังรอทุนในการก่อสร้างอยู่โดยส่วนที่สร้างเสร็จและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมก็มี พระตำหนักที่ประทับบรรทมสีทองเหลืองอร่ามที่ดูโดดเด่นชวนมองในรูปแบบสถาปัตยกรรมพม่า และท้องพระโรงที่ใช้ออกว่าการก็ดูโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรรมพม่าสีทองเหลืองอร่ามทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งในอนาคตที่นี่จะใช้เป็นสถานที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติเมืองหงสาวดีและพระราชวังบุเรงนองอันสำคัญ ในขณะที่ปัจจุบันเป็นโถงโล่งๆมีราชรถจำลอง โมเดลของพระราชวัง และบานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของพระราชวังเดิมวางไว้ให้ชม

+++จากนั้นนำคณะไปสักการะ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองหงสาวดี รองจากพระมหาธาตุมุเตา และเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีองค์พระยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพม่าทั่วประเทศเป็นพระนอนที่งามที่สุดในประเทศ พระพุทธไสยาสน์แห่งพะโค (เมืองหงสาวดี) องค์นี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 994 ตามบัญชาของพระเจ้ามินกะดีป่า ก่อนหน้าที่พวกบะหม่า(พม่า) จะเข้ามามีอำนาจเหนือพวกมอญ แต่พระองค์ก็ถูกทิ้งให้ผุพังอยู่เกือบ 500 ปี จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงสั่งให้ข้าทาสทหารได้บูรณะขึ้นใหม่ เมื่อเข้าสู่ ศตวรรษที่ 18 พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวจึงถูกทิ้งร้าง และได้ปล่อยให้ป่ารกขึ้นปกคลุมอีกครั้งจนกระทั่งปี 1881 ผู้รับเหมาสร้างทางรถไฟให้กับอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้พบเข้าโดยบังเอิญแต่ก็คิดว่ามันเป็นแค่ กองอิฐกองหิน ต่อมาทางการจึงได้ถางป่าออกในปี 1906 แล้วใช้เหล็กปลูกโรงเรือนช่วยคุ้มแดดคุ้มฝนให้แต่ดูไม่ดีเท่าไหร่ ครั้นถึงปี 1948 จึงทำการบูรณะพระองค์ขึ้นใหม่อีกครั้ง มีการทาสีและปิดทองล่องชาดอย่างงดงาม ได้ทำการบูรณะเลยมาจนถึงปัจจุบันมีตำนานเล่าว่าเป็นพระรูปสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้านหลังพระองค์มีภาพวาดเล่าขานตำนานว่า มีพระราชาองค์หนึ่งไม่ศรัทธาพุทธศาสนา ทรงลุ่มหลงบูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้นรูปไว้กราบไหว้ วันหนึ่งขณะที่พระราชาเสด็จประพาสป่าพร้อมพระโอรส และพระโอรสไปพบสาวบ้านกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารก็เกิดความหลงรัก ถึงกับพากลับเข้าวัง แต่สาวเจ้าอันเชิญพระพุทธรูปไปบูชาในวังด้วย ทำให้พระราชากริ้วมาก ถึงขั้นสั่งให้ทหารจับพระโอรสและคนรักมัดรวมกันเพื่อจะประหาร แต่ชาวบ้านได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ขอให้นางแคล้วคลาด ปรากฏว่าเชือกขาดโดยพลัน ขณะที่รูปปั้นยักษ์แตกกระจาย พระราชาถึงกับทรงหันกลับมานับถือพุทธศาสนา และขอไถ่บาปด้วยการสร้างพะพุทธไสยาสน์เป็นเครื่องเตือนสติหลังจากที่พระเจ้าอลองพญาทรงปราบมอญราบคาบ เมืองหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป็นกองอิฐจมอยู่ในโคกดิน จนถึงปี พ.ศ.2424 เมื่ออังกฤษสร้างทางรถไฟสายพม่า จึงขุดพบพระนอนองค์นี้ จากนั้นปี พ.ศ.2491 หลังจากพม่าได้รับเอกราช ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างจริงจัง และได้ทาสีและปิดทองลงชาดใหม่ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ตรงทางขึ้นตลอดสองข้างให้ท่านช้อปปิ้งของฝากจากเมืองหงสาวดี อาทิ ผ้าพื้นบ้าน ไม้แกะสลัก เรือสำเภา และสินค้าอีกหลายอย่างตามอัธยาศัยค่ะ

+++ได้เวลาอันควรเดินทางกลับสู่เมืองย่างกุ้ง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเช่นเดิมนะค่ะและเมื่อเดินทางมาถึงและนำคณะขึ้นไปสักการะ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งถือว่าเป็นพระมหาเจดีย์คู่บ้าน คู่เมืองของชาวพม่าแห่งสำคัญเลยที่เดียว ถ้าจะเปรียบกับบ้านเราก็คงจะเหมือนวัดพระแก้วที่เป็นวัดคู่บ้าน คู่เมืองของชาวไทยมาช้านาน
+++รอบองค์เจดีย์ยังมีพระประจำวันเกิดประดิษฐานทั้งแปดทิศรวม 8 องค์ หากใครเกิดวันไหนก็ให้ไปสรงน้ำพระประจำวันเกิดตน จะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตทิศทั้งแปดของชาวพุทธชาวพม่านับถือทิศทั้งแปดเหมือนกับคนไทย โดยรอบจักรวาลแบ่งเป็น 8 ทิศ ดังนี้คือ
  • วันอาทิตย์ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีครุฑ
  • วันจันทร์ ทิศตะวันออก มีเสือ
  • วันอังคาร ทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีสิงห์
  • วันพุธ (เช้าหรือกลางวัน) ทิศใต้ มีช้างมีงา
  • วันพุธ (เย็นหรือกลางคืน) ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีช้างไม่มีงา
  • วันพฤหัสบดี ทิศตะวันตก มีหนู
  • วันศุกร์ ทิศเหนือ มีหนูตะเภา
  • วันเสาร์ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีพญานาค


+++หลังจากสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากองแล้ว นำทุกท่านไปทานอาหารค่ำที่ภัตราคารการะเวกก์พร้อมชมการแสดงนาฏศิลป์ของพม่า อันงดงาม อ่อนช้อย บนทะเลสาบหลวง ทัวร์พม่าภัตตาคารแห่งนี้สร้างตามต้นแบบเรือกัญญาของราชวงศ์พม่า หัวเรือเป็นรูปนกการะเวกก์สัตว์ในเทพนิยายอินเดีย หลังคาทำเป็นทรงปราสาทซ้อนสูง ภายในตกแต่งด้วยงานลงรักปิดทองประดับกระจกสี หินอ่อน และงานฝังมุก  ประดับไฟอย่างงดงาม ท่านสามารถเห็นทิวทัศน์ของพระมหาเจดีย์ชเวดากองได้งดงามน่าประทับใจอย่างยิ่ง


+++จากนั้นก็เดินทางเข้าโรงแรมที่พัก YUZANA  HOTEL โรงแรมเดิมที่คณะเราพักคืนแรกค่ะ หลังจากที่เดินทางกลับมา ค่อนข้างจะนั่งรถนาน คืนนี้ก็ให้ทุกท่านพักผ่อนอย่างเต็มที่ คืนนี้ก็ขอให้หลับฝันดีราตรีสวัสดิ๋ค่ะ

****************************************************************************


+++มิงกะลาบาค่ะทุกท่าน เช้านี้ขอทักทายเป็นภาษาพม่ากันสักหน่อย ตื่นเช้าอย่างนี้ทุกท่านคงจะหิวข้าวแล้วนะค่ะ เชิญทุกท่านที่ห้องอาหารของโรงแรมที่ชั้น 2 ได้เลยค่ะ ท่านใดที่รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ตรวจเช็คกระเป๋าสัมภาระก่อนขึ้นรถ และ Chack Out ออกจากโรงแรมที่พัก  โปรแกรมของเราวันนี้ที่แรกเราจะไปนมัสการเจดีย์โบดาทาวน์ (เจดีย์โปตาทอง) ซึ่งเป็นสถานที่สักสิทธิ์ ตามตำนานกล่าวไว้สร้างโดยทหารพันนายเพื่อบรรจุพระบรมธาตุที่พระสงฆ์อินเดีย 8 รูป ได้นำมาเมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยพระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศธาตุ ที่นายวาณิชอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตาทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก และในปี 2486 เจดีย์แห่งนี้ถูกระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ากลางองค์จึงพบโกศทองคำบรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมธาตุอีก 2 องค์ และพบพระพุทธรูปทอง เงิน สำริด 700 องค์ และจารึกดินเผาภาษาบาลี และตัวหนังสือพราหมณ์อินเดียทางใต้ ต้นแบบภาษาพม่า  และได้มีการบูรณะใหม่แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด (สถานที่แห่งเดียวที่ท่านสามารถมองเห็นพระเกศธาตุด้วยสายตาของท่านเอง)  และสักการะ เทพทันใจ หรือนัตโบโบยี ซึ่งชาวพม่าให้ความเคารพอย่างมากและนิยมมาขอพร ด้วยเชื่อว่าอธิฐานสิ่งใดจะสมความปรารถนาทันทีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ขอพรแล้ว สมดั่งคำอธิฐาน จึงทำให้หลายท่านต้องกลับมาสักการะท่าน หลายๆๆครั้งวิธีการสักการะรูปปั้นเทพทันใจ เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปรารถนาก็ ให้เอาดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆมาสักการะเทพทันใจจะชอบมาก จากนั้นก็ให้เอาเงินจะเป็นดอลล่า บาท หรือจ๊าด ก็ได้ (แต่แนะนำให้เอาเงินบาทดีกว่าเพราะเราเป็นคนไทย) แล้วเอาไปใส่มือของเทพทันใจสัก 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึกกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของเทพทันใจแค่นี้ท่านก็จะสมตามความปรารถนาที่ขอไว้ค่ะ


+++จากนั้นนำทุกท่านเดินทางสู่เมืองสิเรียม ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 45 นาที สิเรียมเป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำหงสาและแม่น้ำย่างกุ้ง ชมความสวยงามแปลกตาของเมืองซึ่งเมืองนี้เคย เป็นเมืองท่าสำคัญของเขตย่างกุ้ง ประเทศพม่า ในอดีตเคยเป็นที่มั่นของทหารโปรตุเกส ช่วยเหลือมอญทำสงครามกับพม่า ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ปัจจุบัน สิเรียมมีโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และทางรถไฟสำหรับขนส่งสินค้า อยู่ห่างจากย่างกุ้ง 20 กิโลเมตร  สิเรียมเป็นศูนย์กลางของเมืองท่าและยังเป็นแหล่งผลิตอาหารส่งสู่กรุงย่างกุ้ง และอังกฤษต้องเกณฑ์แรงงานอินเดียมาทำนา แล้วพากันมาปักหลักทำมาหากินกันจนถึงปัจจุบันนี้ สิเรียม พื้นที่มีสภาพเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ เป็นแหล่งอูข้าวอู่น้ำที่สำคัญ ทำให้เป็นที่หมายปองของชาวต่างชาติในยุคล่าอาณานิคม มีชาวโปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอนลันดาต่างก็แย่งกันขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ เมื่อเดินทางถึงเมืองสิเรียม จากนั้นนำท่านนมัสการ  พระเจดีย์เยเลพะยา (เจดีย์กลางน้ำ) ต้องนั่งเรือพาข้ามน้ำมาจากอีกฟากหนึ่ง วัดแห่งนี้มีภาพเขียนรูปเจดีย์สำคัญๆ อยู่มากมาย มีนัต 4 ตน และพระอุปคุต ที่บริเวณท่าเทียบเรือบนเกาะสามารถซื้ออาหารเลี้ยงปลาดุกตัวใหญ่นับร้อยๆ ตัวที่ว่ายวนเวียนให้เห็นครีบหลังที่โผล่เหนือผิวน้ำ มีตำนานเล่าว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยมอญเรืองอำนาจ เมื่อราวพันกว่าปีก่อน โดยมีคหบดีชาวมอญเป็นผู้สร้างและยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าน้ำท่วมก็ขออย่าให้ท่วมองค์พระเจดีย์ ถ้ามีผู้คนมากราบไหว้จำนวนมากเท่าไหร่ก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ เพราะเจดีย์แห่งนี้สร้างบนเกาะมีสภาพเป็นเพียงเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำกว้างใหญ่เท่านั้น และเจดีย์แห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง ไหว้พระขอพรทำธุระกิจทางการค้า


+++หลังจากนั้นนำท่านเดินทางกลับสู่ย่างกุ้ง และรับประทานอาหารกลางวัน มื้อนี้จะเป็นมื้อสุดท้ายในพม่าก่อนเดินทางกลับเมืองไทยนะค่ะ คณะเราจะทานอาหารกันที่ร้าน WESTERN  PARK  RESTAURANT ซึ่งเป็นภัตตาคารอาหารจีน อาหารพิเศษมื้อนี้ก็จะมีสลัดกุ้งมังกร และเป็ดปักกิ่ง ที่จะมีเชฟมาชำแหละเสิร์ฟให้กันสดๆเลยค่ะ


+++หลังจากนั้นนำคณะไปที่ ตลาดสก๊อต (SCOTT MARKET) หรือ ตลาดโบ่ซกอ่องซาน ซึ่งสร้างโดยชาวสก๊อตสมัยเมื่อครั้งพม่ายังคงเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ภายในตลาดแห่งนี้มีสินค้าจำพวกงานหัตถกรรมของพม่าให้เลือกซื้อหามากมาย  อาทิ อัญมณี แพรพรรณ งานฝีมือ งานแกะสลักไม้ เครื่องเขิน ตุ๊กตา เครื่องดนตรี โสร่ง ย่าม เครื่องหวาย และภาพวาด


วันที่สามของการเดินทาง วันที่ 22 ตุลาคม 2555   พระธาตุอินทร์แขวน – หงสาวดี –พระพุทธไสยาสชเวตาเลียว -พระนอนตาหวาน  -เจดีย์ชเวดากอง
+++จากนั้นนำท่านไปสักการะ พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตจี หรือ พระตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์  ซึ่งเป็นพระที่มีความสวยงามอีกองค์หนึ่งของพม่า มีความยาวถึง 70 เมตร ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว มีขนตาที่งดงามและดวงตาที่สง่างาม ซึ่งได้ให้ช่างที่ฝีมือการประดิษฐ์ที่ดีที่สุดในพม่าสร้างดวงตาขึ้น พระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริงและเมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอนองค์นี้ ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วยลายลักษณธรรมจักร ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ และพระบาทซ้อนกันซึ่งแตกต่างกับศิลปะของไทย อย่างไรก็ดี วัดแห่งนี้จัดเป็นศูนย์กลางสำคัญในการศึกษาตำรับตำราทางพระพุทธศาสนา มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่มากถึง 600 รูป แต่เก่าแก่เพียงไม่กี่สิบปีและมีขนาดใหญ่กว่า พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว ที่เมืองหงสาวดี


+++ได้เวลาอันควรนำคณะเดินทางสู่สนามบินย่างกุ้ง ทำการ Chack In และโหลดกระเป๋าสัมภาระ ผ่านพิธีการตรวจคนออกเมือง เรียบร้อยแล้ว ท่านใดที่ยังไม่ได้ของฝากของที่ระลึก สามารถซื้อได้นะค่ะ แต่ข้างบนมีร้านที่ขายของที่ระลึกไม่มากนัก


+++เครื่องออกเวลา 16.30 นาที ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ในการเดินทางบินจาก ย่างกุ้ง-กรุงเทพ  ไปถึงที่กรุงเทพ  เวลา  18.15นาที (เวลาไทยนะค่ะ) บนเครื่องบินที่นั่งจะเป็นแถวละ 6 ที่นั่ง ซ้าย-ขวา 2 ฝั่ง ฝั่งละ 3 ที่นั่ง และก็จะมีเสิร์ฟอาหาร จะเป็นขนมปัง และขนมเค้ก พร้อมน้ำเปล่า น้ำผลไม้และกาแฟ เหมือนกับขามาค่ะ นำทุกท่านเดินทางมาถึงกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ ทัวร์พม่าขอขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ที่ให้โอกาส SPiRiT Of The World ได้ให้บริการแก่ทุกท่าน ทางบริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มีโอกาศให้บริการทุกท่านอีกครั้งนะค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ


By…แอนเล็ก หัวหน้าทัวร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น