วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

ย่างกุ้ง – สิเรียม – หงสาวดี – พระธาตุอินทร์แขวน 4 วัน 3 คืน 31 ธันวาคม 2555 – 3 มกราคม 2556

ย่างกุ้ง – สิเรียม – หงสาวดี – พระธาตุอินทร์แขวน 4 วัน 3 คืน
31 ธันวาคม 2555 – 3 มกราคม 2556


+++ ประเทศพม่า หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ประเทศที่ยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ความสวยงามของวัฒธรรม และศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธศาสนา  ในครั้งนี้เราจะไปเที่ยวและทำบุญต้อนรับปีใหม่กันที่ย่างกุ้ง สิเรียม  หงสาวดี  พระธาตุอินทร์แขวนกันค่ะ


วันแรกของการเดินทาง  วันที่ 31 ธันวามคม 2555  กรุงเทพฯ – ย่างกุ้ง – สิเรียม – เจดีย์เยเลพญา


+++ขณะนี้เป็นเวลาตี 4 ครึ่งค่ะ คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ  เคาน์เตอร์ N1-4 สายการบิน Myanmar Airways ออกเดินทางสู่กรุงย่างกุ้งด้วยเที่ยวบิน  8M 366 เวลา 06.40-07.25  น. ใช้เวลาบินประมาณ 50 นาที ที่นั่งบนเครื่องจะเป็นแบบ 3-3 ค่ะ


อาหารบนเครื่องจะเป็นขนม ผลไม้ และเครื่องดื่มค่ะ



+++07.25 น. เดินทางถึงสนามบินย่างกุ้ง ประเทศพม่าค่ะ หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เราเดินทางไปยังเมืองสิเรียม เพื่อไปนมัสการพระเจดีย์เยเลพญากันค่ะ

รถที่เราใช้ตลอดการเดินทางครั้งนี้ มีที่นั่งทั้งหมด 45 ที่นั่ง สะดวกสบายมากค่ะ

+++เมืองสิเรียมหรือชื่อเดิม คือ เมืองตันลยิน (Thanlyin) ตั้งอยู่ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที โดยเมืองสิเรียมเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวทีมีชื่อเสียงของเขตย่างกุ้ง ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำ    อิระวดี มีสภาพพื้นที่เป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ จึงมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญในการผลิตอาหารส่งสู่กรุงย่างกุ้ง  ทำให้เป็นที่หมายปองของชาวต่างชาติในยุคล่าอาณานิคม เมืองสิเรียมจึงตกอยู่ในอำนาจของพม่าบ้าง มอญบ้าง ไทยบ้าง จนกระทั่ง พ.ศ. 2428 พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ อังกฤษจึงได้พัฒนาเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรมและแหล่งปลูกข้าวจนถึง ปัจจุบัน

นั่ง รถผ่านสะพานข้ามแม่น้ำอิระวดีเพื่อไปยังเมืองสิเรียม  สะพานนี้มีความยาวถึง 2 กิโลเมตรเลยค่ะ โดยที่ตรงกลางสะพานจะเป็นรางรถไฟค่ะ

+++เจดีย์เยเลพญาหรือเจดีย์กลางน้ำ ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางน้ำ การเดินทางไปจะต้องลงเรือข้ามฝากไปค่ะ ตามตำนานเล่าว่าเจดีย์นี้สร้างขึ้นเมื่อราวพันกว่าปีก่อน  คหบดีชาวมอญเป็นผู้สร้างเจดีย์แห่งนี้  โดยคหบดีได้ตั้งจิตอธิฐานไว้   3 ข้อ คือ
  1. ถ้าน้ำท่วมก็ขออย่าให้ท่วมถึงองค์เจดีย์
  2. ถ้ามีผู้มากราบไหว้บูชาเป็นจำนวนมากเพียงใด ขอให้มีพื้นที่ไม่มีวันเต็ม รองรับผู้คนจำนวนมากเท่าใดได้ตลอดเวลา
  3. เมื่อมาอธิฐานขออะไรที่สมเหตุสมผล ก็ขอให้สมความปราถนาทุกคน
เรือข้ามฝากที่จะพาเราไปนมัสการเจดีย์เยเลพญาค่ะ


+++เมื่อขึ้นมาถึงเจดีย์เยเลพญาจะ พบเจดีย์สีทองสวยงาม ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องทองคำ มีพระนามว่าพระงาซัด  สามารถเวียนเทียนรอบเจดีย์ได้ค่ะ นอกจากนี้ยังมีพระอุปคุตให้กราบไหว้ขอพร ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้การทำธุรกิจ การค้า เจริญก้าวหน้าสมดังใจหวัง อีกกิจกรรมหนึ่งที่สามารถทำได้หากมาท่องเที่ยวชมเจดีย์เยเลพญา คือ การให้อาหารเลี้ยงปลาดุก ซึ่งตัวขนาดใหญ่มากและมีนับพันๆตัว ที่บริเวณท่าเทียบเรือบนเกาะค่ะ

+++นำท่านเดินทางกลับมาที่กรุงย่างกุ้งค่ะ รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร Western Park ซึ่งจะมีเมนูพิเศษเป็นเป็ดปักกิ่ง และสลัดกุ้งมังกรค่ะ
+++จากนั้นนำท่านเดินทางไปชม พระพุทธไสยาสน์เจาทัตจี หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามพระตาหวานนั่นเองค่ะ   เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ มีความยาวประมาณ 70เมตร  สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 แทนองค์เดิมที่ชำรุดเสียหาย พระตาหวานเป็นพระนอนที่ใหญ่และงดงามที่สุดของพม่าท่านมีพระพักต์และขนตาที่ สวยงาม  ดวงตาเป็นแก้วซึ่งสั่งผลิตมาจากต่างประเทศ  โดยเฉพาะพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริง  บริเวณพระบาทจะมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด ใจกลางฝ่าพระบาทประกอบด้วยลายธรรมจักรข้างละองค์ ล้อมรอบด้วยมงคล 108 ประการ


+++นำท่านเดินทางต่อไปยังวัดบารมี พิพิธภัณธ์พระธาตุที่ใหญ่ที่สุดในพม่าค่ะ ภายในจะจัดแสดงพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าและพระธาตุของพระอรหันต์หลายๆองค์ ค่ะ ในครั้งนี้ท่านเจ้าอาวาสได้กรุณานำพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้ามาให้ได้ชมและ กราบนมัสการอย่างใกล้ชิด ซึ่งพระเกศาธาตุนี้มีความอัศจรรย์ทรงขยับพระองค์ได้ค่ะ

ภายในวัดมีพระธาตุต่างๆจัดแสดงอยู่มากมายค่ะ

ท่านเจ้าอาวาสกรุณานำพระเกศาธาตุมาให้ชมอย่างใกล้ชิด

+++อาหาร เย็นวันนี้เรามารับประทานกันที่ภัตตาคารการะเวกค่ะ โดยจะเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติ มีอาหารให้เลือกมากมายเลยค่ะ ระหว่างรับประทานอาหารจะมีการแสดงนาฎศิลป์แบบพม่าให้ได้รับชมกันด้วยนะคะ มื้อนี้ทั้งอิ่มอร่อยกับอาหารและเพลิดเพลินไปกับการแสดงที่สวยงามด้วยค่ะ


+++คืนนี้เราพักกันที่โรงแรม Hotel Yangon กันค่ะ เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว แต่สะดวกสบายมากเลยทีเดียว ห้องพักกว้างขวาง สะอาด อุปกรณเครื่องใช้ครบครัน

****************************************************************************

วัน ที่สองของการเดินทาง  วันที่ 1 มกราคม 2556  ย่างกุ้ง-หงสาวดี-เจดีย์ไจ้ปุ่น-พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว- วังบุเรงนอง – พระธาตุอินทร์แขวน

+++สวัสดี ปีใหม่ค่ะ   ต้อนรับปีใหม่กับเช้าที่สดใส  เชิญทุกท่านรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารเช้าที่นี่จะเป็นแบบบุฟเฟต์มีอาหารให้เลือกทานมากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารแบบพม่า ขนมปัง ไส้กรอก ไข่คนแบบฝรั่ง หรือข้าวต้มก็มีพร้อมเสิร์ฟค่ะ

+++ในวันนี้เราจะเดินทางไปยังเมืองหงสาวดีกันค่ะ หงสาวดีหรือพะโค หากอ่านออกเสียงตามสำเนียงพม่าจะออกเสียงว่า “หานตาวดี” ตั้งอยู่ใกล้เมืองเมาะตะมะ ทางตอนใต้ของประเทศพม่า ห่างจากเมืองย่างกุ้งประมาณ 84 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ ในอดีตหงสาวดีเคยเป็นเมืองหลวงของชาวมอญมาก่อน ต่อมาพระเจ้าตะเบงชเวตี้ยึดครองได้และสถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ ตองอู    หงสาวดีเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง เนื่องจากพระองค์ได้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ชื่อ กัมโพชธานี อยู่ที่เมืองหงสาวดี จนถึงสมัยพระเจ้านันทบุเรงที่เสด็จหนีพระนเรศวรไปยังเมืองตองอู ทิ้งเมืองหงสาวดีให้   ยะไข่ปล้นและเผาเมือง  เหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นจุดจบของเมืองหงสาวดี
+++สัญลักษณ์ ของเมืองหงสาวดีเป็นรูปหงส์คู่ โดยตัวผู้อยู่ข้างล่างและตัวเมียอยู่ข้างบน  มีตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงดินแดนแห่งนี้ซึ่งสมัย ก่อนยังคงเป็นชายหาดริมทะเล พระพุทธเจ้าทรงเห็นหงส์สองตัวว่ายน้ำเล่นกัน จึงทำนายว่าในภายหน้าเมืองนี้จะกลายเป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับหงส์ทองสองตัวเพิ่มขึ้น โดยเล่าว่าหงส์ตัวผู้บินมาเกาะอยู่เหนือพื้นดินผืนเล็กๆกลางทะเล ผินดินแห่งนี้เล็กเสียจนหงส์ตัวเมียไม่มีที่เกาะ จึงต้องมาเกาะอยู่บนหลังของหงส์ตัวผู้

ระหว่างเดินทางไปเมืองหงสาวดี จะเห็นวิถีชีวิตในยามเช้าของชาวพม่า ผู้คนนิยมใส่บาตรพระในตอนเช้าก่อนไปทำงาน


+++สถานที่แรกที่เราจะไปกันในวันนี้ คือ เจดีย์ไจ๊ปุ่นค่ะ ไจ๊ แปลว่า พระหรือเจดีย์ ส่วนคำว่า ปุ่น แปลว่า สี่         เจดีย์ไจ๊ปุ่นเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์นั่งหันไปยัง 4 ทิศ มีอายุกว่า 500 ปี  มีตำนานเล่าว่าเจดีย์ไจ๊ปุ่นสร้างขึ้นโดยสี่สาวพี่น้องที่อุทิศตนแด่พระพุทธ ศาสนาจึงได้สร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษใด แต่ในที่สุดน้องสาวคนสุดท้องกลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพสฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมาจน ต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ส่วนจะเป็นองค์ไหนและแตกต่างจากองค์อื่นอย่างไรนั้น ต้องไปเที่ยวกับ Spirit of the World นะคะ


บริเวณหน้าวัดจะมีร้านขายของฝาก ของพื้นเมืองให้เลือกซื้อกันตามอัธยาศัยค่ะ

ร้านนี้สาธิตการใช้ทานาคากันแบบสดๆเลยค่ะ

+++จากนั้นนำท่านเดินทางไปชมพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม พระนอนยิ้มหวานนั่นเองค่ะ  พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวมีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต องค์พระเป็นศิลปะแบบมอญ สร้างขึ้นโดยพระเจ้า      เมงกะติปะ ในปี พ.ศ. 1537 อายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี พุทธลักษณะเด่น คือ บริเวณพระบาทวางไม่เสมอกันเหมือนอย่างพระพุทธไสยาสน์ของไทย อันมีความหมายว่า ในขณะนั้นพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ซึ่งเป็นอากัปกิริยาก่อนที่พระองค์จะเสด็จสู่ปรินิพพานในวันถัดมา  ในสมัยที่พระเจ้าอลองพญาทรงปราบมอญได้อย่างราบคาบ เมืองหงสาวดีถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป็นกองอิฐจมอยู่ในดิน จนถึงปี พ.ศ. 2424 อังกฤษเข้ามาสร้างทางรถไฟสายพม่า จึงขุดพบพระนอนองค์นี้ จากนั้นปี พ.ศ.2491 หลังจากที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษจึงได้มีการบูรณปฎิสังขรณ์อย่างจริงจัง ทาสีและปิดทองลงชาดใหม่ ปัจจุบันพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของเมืองหงสาวดี ค่ะ


+++ เมื่อ เดินมายังบริเวณด้านหลังองค์พระจะมีภาพวาดตำนานการสร้างพระพุทธไสยาสน์ชเวตา เลียวอยู่ค่ะ  โดยตำนานกล่าวไว้ว่า มีพระราชาองค์หนึ่งที่ไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงลุ่มหลงบูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้นรูปไหว้กราบไหว้ วันหนึ่งขณะที่พระราชาและพระโอรสเด็จไปประพาสป่าพร้อมกัน  พระโอรสได้ไปพบสาวชาวบ้านกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารก็เกิดความหลงรักจึงพาหญิง สาวกลับเข้าวัง หญิงสาวอันเชิญพระพุทธรูปไปบูชาในวังด้วย ไม่กราบไหว้บูชารูปปั้นยักษ์ดังเช่นพระราชา  ทำให้พระราชากริ้วมากถึงขั้นสั่งให้ทหารจับพระโอรสและคนรักมัดรวมกันเพื่อจะ ประหาร   แต่ชาวบ้านได้ตั้งจิตอธิฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงขอให้นางแคล้วคลาด ปรากฎว่าเชือกขาดโดยพลันและรูปปั้นยักษ์แตกกระจาย พระราชาจึงหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาและขอไถ่บาปด้วยการสร้างพระพุทธ ไสยาสน์เป็นเครื่องเตือนสติและถือเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของหนุ่มสาวทั้งสอง


+++ บริเวณ หน้าวัดพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวมีของที่ระลึกราคาถูกให้เลือกซื้อมากมายค่ะ ทั้งไม้แกะสลัก       ของตกแต่งบ้าน   ผ้าพื้นเมือง หยกค่ะ

+++ จากนั้นเดินทางไปพระราชวังบุเรงนอง หรือ พระราชวังกัมโพชธานี ซึ่งพระราชวังบุเรงนองนี้เป็นพระราชวังที่สร้างจำลองขึ้นมาค่ะ เพราะพระราชวังเดิมได้ถูกเผาเมื่อสิ้นสมัยพระเจ้านันทบุเรง (พระโอรสของบุเรงนอง)  พระราชวังบุเรงนองเดิมนั้นสร้างในปี พ.ศ.2109 เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าบุเรงนองเรืองอำนาจสูงสุด พระราชวังบุเรงนองสร้างขึ้นโดยใช้แรงงานจากประเทศราชต่าง ๆ พระองค์จึงโปรดให้ใช้ชื่อประตูต่าง ๆ ทั้ง 10 ประตู ตามชื่อของแรงงานประเทศราชที่สร้าง เช่น ประตูทางตอนเหนือปรากฏชื่อ ประตูโยเดีย (อยุธยา) ประตูตอนใต้ชื่อ ประตูเชียงใหม่ จนในปี พ.ศ. 2533 รัฐบาลพม่าได้ขุดค้นพบซากของพระราชวังที่เหลือเพียงแค่ตอไม้ที่โผล่พ้นดิน ออกมาเท่านั้น และได้มีการเร่งสร้างพระราชวังจำลององค์ใหม่ขึ้นมา

+++ ภาย ในพระราชวังบุเรงนองจัดแสดงเสาไม้สักที่ขุดค้นพบซึ่งไม้แต่ละท่อนจะมีตัว อักษรจารึกอยู่ว่ามาจากเมืองใด นอกจากนี้ยังจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระเจ้าบุเรงนองจำลอง ราชรถจำลอง เป็นต้น

จากนั้นนำท่านรับประทานอาหารอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร 555 มีเมนูพิเศษเป็นกุ้งแม่น้ำย่างค่ะ


+++หลัง รับประทานอาหารกลางวัน เราจะเดินทางทางไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนกันที่เมืองไจ้โทค่ะ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางจะผ่านสะพานข้ามแม่น้ำสะโตง หลายท่านที่เคยชมภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชคงคุ้นกับชื่อแม่ น้ำสะโตง  แม่น้ำสะโตงมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จหลบหนีกองทัพพม่า พระองค์ได้หลบหนีข้ามแม่น้ำสะโตงมา และได้แสดงวีรกรรมยิงพระแสงปืนข้ามจากอีกฝั่งของแม่น้ำถูกแม่ทัพของพม่าเสีย ชีวิตคาคอช้าง
+++มา ถึงจุดเปลี่ยนรถแล้วค่ะ เนื่องจากพระธาตุอินทร์แขวนตั้งอยู่บนเขาการเดินทางขึ้นไปจะต้องนั่งรถ บรรทุก 6 ล้อแล้วไปขึ้นเสลี่ยงต่อค่ะ จากจุดนี้เราจะเปลี่ยนรถจากรถโค้ชปรับอากาศเป็นรถบรรทุกกัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ระหว่างทางขึ้นเขามีทั้งทางที่ลาดชัน โค้งหักศอก แต่ก็มีวิวสวยๆของป่าเขา น้ำตก ให้ได้ชมกันตลอดทางค่ะ


+++หลัง จากนั่งรถ 6 ล้อกันแล้ว เราต้องมาขึ้นเสลี่ยงกันต่อค่ะ เนื่องจากทางรัฐบาลพม่าไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขึ้นรถ 6 ล้อไปถึงบนพระธาตุอินทร์แขวนด้วย เหตุผลด้านความปลอดภัย จะมีแต่ชาวพม่าเท่านั้นค่ะที่จะมีสิทธิ์ได้นั่งรถ 6 ล้อขึ้นไปจนถึงบนพระธาตุอินทร์แขวน โดยเสลี่ยงที่เราจะนั่งนั้นเป็นการนำเก้าอี้ผ้าใบมาผูกกับไม้ไผ่ ใช้คนหามทั้งหมด 4 คนค่ะ คนที่มาหามเสลี่ยงเป็นคนที่แข็งแรงมากเลยค่ะ เพราะจะต้องเดินขึ้นเขาที่สูงชัน ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก่อนที่จะขึ้นเสลี่ยงจะมีการแจกหมายเลขเสลี่ยงให้ค่ะ ต้องจำหมายเลขไว้ให้ดีๆนะคะเพราะตอนขากลับเราต้องนั่งเสลี่ยงหมายเลขเดิมลง มาค่ะ เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วคนส่วนใหญ่จะนิยมให้ทิปคนแบกเสลี่ยงค่ะ โดยทิปที่ให้จะอยู่ประมาณ 1,000 จั๊ตต่อคน คนแบกเสลี่ยง 4 คน จึงต้องให้ทั้งหมด 4,000 จั๊ตค่ะ


+++มา ถึงแล้วค่ะโรงแรมที่เราจะพักกันในคืนนี้ ชื่อโรงแรมไจ้โทค่ะ เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้พระธาตุอินทร์แขวนที่สุดแล้ว ใช้เวลาเดินไปยังพระธาตุเพียง 5 นาทีเท่านั้นค่ะ เรามาเช็คอิน เอากระเป๋าเก็บที่โรงแรมกันก่อนที่จะขึ้นไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนค่ะ


+++พระธาตุอินทร์แขวนหรือไจ้ทิโย ในภาษามอญมีความหมายว่า หินรูปหัวฤๅษี ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้โท บนยอดเขา    พวงลวง อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวน คือเป็นหินสีทอง  ความสูง 5.5 เมตร สามารถตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ท้าทายแรงดึงดูดของโลก เชื่อกันว่าในอดีตพระธาตุอินทร์แขวนลอยอยู่เหนือพื้นเป็นช่องว่างขนาดที่แม่ ไก่สามารถลอดผ่านได้ แต่ช่องว่างแคบลงทุกทีจนในปัจจุบันช่องว่างมีขนาดเพียงแค่เส้นผมลอดผ่านได้ พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่าและยังเป็นพระธาตประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปี จออีกด้วยค่ะ
+++คุณ อ้อยซึ่งเป็นไกด์ท้องถิ่นของเราในทริปนี้ได้เล่าตำนานของพระธาตุอินทร์แขวน ไว้ว่า เดิมทีนั้นบริเวณนี้มีภูเขาอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ลูก โดยแต่ละลูกนั้นจะมีฤๅษีที่ประจำอยู่ พระพุทธเจ้าได้ทรงมอบพระเกศาให้แก่ฤๅษีแต่ละรูปที่ประจำอยู่ที่ภูเขา กาลเวลาผ่านไปฤๅษีแต่ละรูปก็ได้มรณภาพไปทีละรูป ฤๅษีติสสะซึ่งเป็นผู้ที่รวบรวมพระเกศาของพระพุทธเจ้าไว้ตระหนักได้ว่าหากตน เองมรณภาพไปพระเกศาของพระพุทธเจ้าจะไม่มีใครดูแล พระฤๅษีติสสะจึงนำพระเกศาของพระพุทธเจ้าไปซ่อนไว้ในมวยผมก่อนระหว่างที่คิด จะหาที่อัญเชิญพระเกศาไปบรรจุไว้ เขาตั้งใจว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะของตนเอง พระอินทร์ได้ทราบเรื่องราวจึงมาช่วยฤๅษีหาก้อนหิน แต่พระอินทร์หาเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอก้อนหินที่ถูกใจพระฤๅษี  จึงนำก้อนหินที่หามาได้ไปวางไว้ตามภูเขาจึงเป็นที่มาของการสร้างพระ ธาตุ         อินทร์แขวนจำลองไว้บนก้อนหินที่เชื่อกันว่าเป็นก้อนหินที่พระอินทร์นำมาวาง ไว้ จนในท้ายที่สุดพระอินทร์ค้นหาได้ก้อนหินจากใต้มหาสมุทรที่มีรูปร่างคล้าย ศีรษะของฤๅษีติสสะได้ จึงนำมาวางไว้บนหน้าผา ฤๅษีติสสะจึงนำพระเกศาของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ กลายเป็นพระธาตุอินทร์แขวนดังเช่นในปัจจุบัน
+++ก่อน ที่จะขึ้นไปบนพระธาตุอินทร์แขวนเราแวะซื้อระฆังเพื่อนำไปถวายกันก่อนค่ะ และนับว่าเป็นโชคดีที่ทริปของเราในครั้งนี้ได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุอินทร์ แขวนในวันปีใหม่พอดี จึงมีโอกาสได้ชมการถวายเทียน 9,900 เล่มเพื่อนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนค่ะ


+++หลัง จากนั้นนำทุกท่านกลับมารับประทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารของโรงแรมค่ะ ซึ่งอาหารในมื้อนี้เป็นแบบ      บุฟเฟ่ต์ค่ะ หลังรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วเชิญทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ หลายท่านขึ้นไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนกันอีกรอบค่ะ บนพระธาตุอินทร์แขวนนั้นเปิดให้ขึ้นไปนมัสการได้ตลอดทั้งคืน แต่บริเวณที่สามารถเข้าไปปิดทองได้นั้นจะปิดตอน 4 ทุ่มค่ะ  พรุ่งนี้เราจะต้องตื่นกันแต่เช้า คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านค่ะ



****************************************************************************

วันที่สามของการเดินทาง  วันที่ 2 มกราคม 2556  พระธาตุอินทร์แขวน – เจดีย์ชเวมอดอร์ – พระหินอ่อน – ปางช้างเผือก – เจดีย์ชเวดากอง

+++อรุณ สวัสดิ์ยามเช้าค่ะ วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนกันในยามเช้าค่ะ เชื่อกันว่าหากผู้ใดที่ได้มานมัสการพระธาตุอินทร์แขวนครบ 3 ครั้งในชีวิต เมื่อคิดหวังอะไรก็จะสมปรารถนาค่ะ เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเลยทีเดียว


+++หลัง จากนั้นเราก็กลับมารับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมกันค่ะ มื้อนี้ก็เป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์เช่นเดิมค่ะ หลังรับประทานอาหารเช้าก็ได้เวลาอำลาพระธาตุอินทร์แขวนกันแล้วค่ะ การเดินทางลงจากภูเขาก็เช่นเดียวกันกับขามาคือต้องขึ้นเสลี่ยงแล้วไปต่อรถ 6 ล้อค่ะ ยังจำหมายเลขที่ได้รับแจกมาเมื่อวานได้ใช่ไหมคะ เพราะเราต้องนั่งเสลี่ยงหมายเลขเดิมกลับลงไปค่ะ โดยคนที่แบกเสลี่ยงให้เราจะมารอรับอยู่หน้าโรงแรมเลยค่ะ นั่งเสลี่ยงขึ้นเขาว่าเสียวแล้วตอนขาลงเสียวยิ่งกว่าค่ะ ด้วยเส้นทางที่ลาดชันทำให้เวลาอยู่บนเสลี่ยงจะกระเด้งกระดอนพอสมควร เรียกได้ว่าตับ ไต ไส้ พุงภายในมารวมกันหมดเลยค่ะ จากนั้นก็มาขึ้นรถ 6 ล้อต่อ ประมาณ 30 นาทีก็มาถึงจุดเปลี่ยนรถเพื่อกลับไปขึ้นรถโค้ชของเราแล้วค่ะ



+++หลัง จากนั้นนำท่านเดินทางกลับมายังกรุงหงสาวดีกันค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง  เป็นเวลาเที่ยงพอดีเลยค่ะ วันนี้เรามารับประทานอาหารกลางวันกันที่ภัตตาคารเจ้าสัว มีเมนูพิเศษเป็นกุ้งแม่น้ำย่างตัวใหญ่ๆค่ะ


+++จากนั้นนำท่านเดินทางไปยังเจดีย์ชเวมอดอร์ หรือ พระธาตุมุเตา ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงหงสาวดี       พระธาตุมุเตาเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดของพม่า มีความสูงถึง 114 เมตร ซึ่งเป็นต้นเหตุของชื่อพระธาตุมุเตา เพราะพระธาตุ  มุเตาสูงจนต้องแหงนหน้ามองจึงจะเห็นยอดของพระธาตุ จึงเป็นเหตุให้แสงแดดที่แรงกล้าเผาจมูกจนแสบร้อน ซึ่งคำว่าจมูกร้อนในภาษามอญเรียกว่า มุเตา นั่นเองค่ะ   พระธาตุมุเตามีความโดดเด่น คือเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญ มีฉัตรแบบเรียบๆ และมีองค์ระฆังของเจดีย์ที่มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ภายในเป็นอิฐกลวง บริเวณรอบๆองค์เจดีย์มีพระพุทธรูปหลายองค์ให้กราบไหว้ ซึ่งมีลักษณะศิลปะของมอญผสมกับศิลปะของพม่ามีความสวยงาม     แปลกตา นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆให้ชมกันด้วยค่ะ 


+++พระ ธาตุมุเตามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยใช้เป็นสถานที่ทำพระราชพิธีเจาะพระ กรรณของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้เมื่อครั้งที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ  ในสมัยของพระเจ้าบุเรงนองได้มีการสร้างฉัตรถวายเพิ่มเติมอีกหลายชั้นจนพระ เจดีย์สูงขึ้นอีกหลายเท่า พระเจ้าบุเรงนองทรงถอดอัญมณีที่ประดับยอดมงกุฎของพระองค์เพื่อถวายเป็นพุทธ บูชา อีกทั้งกล่าวกันว่าก่อนที่พระองค์จะทำศึกคราใดจะทรงมานมัสการพระธาตุมุเตา ก่อนทุกครั้ง และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาตีกรุงหงสาวดีก็ได้เสด็จมา นมัสการพระธาตุมุเตาด้วย


+++วัน ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2473 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้ยอดของพระธาตุมุเตาหักพังลงมา      แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากคือ เมื่อยอดของพระธาตุหักลงมาแต่อยอดของพระธาตุนั้นกลับไม่ตกลงถึงพื้น ด้วยความเคารพและศรัทธาที่ชาวเมืองหงสาวดีมีต่อพระธาตุมุเตา จึงได้ทำการสร้างพระธาตุมุเตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ในปีพ.ศ.2497 ด้วยความสูงถึง 374 ฟุต ส่วนยอดของพระธาตุที่หักลงมาได้มีการนำมาตั้งไว้บริเวณลานด้านทิศเหนือของ พระธาตุองค์ใหม่ซึ่งสถานที่ตรงนี้เองได้กลายเป็นสถานที่อธิษฐานขอพร
+++วิธี การอธิษฐานขอพรที่องค์พระธาตุมุเตาคือ นำหน้าผากไปแตะกับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมาแล้วอธิษฐาน จากนั้นจึงนำธูปที่ยังไม่ได้จุด 1 ดอกไปค้ำไว้ที่ยอดองค์พระธาตุ เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นไม่ว่าจะถึงช่วงชีวิตที่ตกต่ำอย่างไรชีวิต ก็จะไม่ตกต่ำถึงที่สุด จะมีผู้มาอุปถัมน์ค้ำจุนไว้ เปรียบเสมือนยอดพระธาตุที่ต่อให้ตกลงมาอย่างไรก็ตกไม่ถึงพื้น
+++ปัจจุบันพระธาตุมุเตาเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของพม่า มีผู้คนทั้งชาวไทยและชาวพม่าไปกราบไหว้กันอย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ

+++จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยังวัดเจ้าดอจี หรือ วัดพระหินอ่อน เป็นพระที่สลักด้วยหินอ่อนก้อนเดียวทั้งองค์และมีขนาดใหญ่ที่สุดในพม่า หนัก 60 ตัน สูง 37 ฟุต สร้างและแกะสลักโดยช่างฝีมือดีสุดในมัณฑะเลย์ โดยพระหินอ่อนจัดแสดงอยู่ในห้องกระจกแก้วที่มีการควบคุมอุณหภูมิ ไว้เพื่อป้องกันการเสียหายของหินอ่อนจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ นอกจากนี้วัดเจ้าดอจียังมีรอยพระพุทธบาทจำลองที่แกะสลักจากหินอ่อนให้ได้ นมัสการกันด้วยค่ะ


+++จากนั้นนำไปชมช้างเผือกคู่ บ้านคู่เมืองของพม่ากันที่ปางช้างเผือกค่ะ ปัจจุบันประเทศพม่ามีช้างเผือกอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 เชือกค่ะ คุณอ้อยได้เล่าว่าในตอนแรกพรานป่าได้ช้างตัวผู้ชื่อ ราชา มาก่อน แต่เมื่อเลี้ยงไปได้ซักระยะ ช้างตัวผู้เกิดอาการซึมเศร้า พรานป่าจึงตัดสินใจปล่อยราชากลับเข้าป่าไป แต่ราชากับกลับมาพร้อมช้างเผือกตัวเมียอีก 2 ตัว ชื่อเป็งกีมาลากับราตรีมาลาค่ะ พรานป่าจึงนำช้างเผือกทั้ง 3 เชือกมามอบให้แก่รัฐบาลพม่าค่ะ


+++จากนั้นนำท่านเดินทางมาชมพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งตั้งอยู่ที่เนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง  คำว่า ชเว แปลว่า ทอง ส่วนคำว่า ดากอง คือ ชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากองมีอายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี สร้างโดยพ่อค้าชาวมอญ 2 คนที่ได้เดินทางไปค้าขายยังประเทศอินเดีย  ทั้งสองได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาให้ 8 เส้น เมื่อพ่อค้าทั้งสองเดินทางกลับมายังพม่า พระราชาแห่งอเชตตะได้ขอแบ่งพระเกศาธาตุไป 2 เส้น พญานาคขอไปอีก 2 เส้น เมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองอสิตันชนะ พระเจ้าโอกะละปะได้ทรงประกอบพิธีต้อนรับพระเกศาธาตุอย่างยิ่งใหญ่ และได้ทรงคัดเลือกสถานที่บนเขาเชียงกุตระให้เป็นที่สร้างพระเจดีย์เพื่อ บรรจุพระเกศาธาตุ แต่ขณะที่กำลังทำการขุดดินก่อสร้างนั้นได้ค้นพบพระบริโภคเจดีย์ของอดีตพระ พุทธเจ้าองค์อื่นอีก 3 พระองค์ด้วย คือ ไม้ธารพระกร ภาชนะสำหรับใส่น้ำ และสบง จึงได้บรรจุของทั้งหมดลงในเจดีย์ชเวดากองพร้อมพระเกศาธาตุ แต่ก่อนที่จะบรรจุกลับพบว่าพระเกศาธาตุกลับมามี 8 เส้นดังเดิม พระเกศาธาตุได้บรรจุไว้ภายในเจดีย์ทอง เงิน ดีบุก ทองแดง ตะกั่ว หินอ่อน และเหล็กตามลำดับ เสร็จแล้วจึงสร้างเจดีย์อิฐครอบไว้ภายนอก ในสมัยพระนางเชงสอบูได้ทรงบริจาคทองคำหนัก 40 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับน้ำหนักของพระองค์ในการสร้างพระเจดีย์


+++เจดีย์ ชเวดากองมีความสูง 326 ฟุต เส้นรอบวง 1,420 ฟุต ประดับด้วยแผ่นทองคำ 4 หมื่นแผ่น น้ำหนักทองคำรวม 8 ตัน ฉัตรประดับด้วยเพชรพลอยรวม 4,351 เม็ด น้ำหนักรวม 2,000 กะรัต นอกจากนี้เจดีย์ชเวดากองยังมีวัตถุที่คงคุณค่าทางศาสนา ศิลปะ ประวัติศาสตร์อีกมากมาย มีจุดหนึ่งบนลานซึ่งหากไปยืนบริเวณนี้จะสามารถมองเห็นประกายเพชรยอดฉัตรได้ ด้วยตาเปล่า และที่พิเศษคือเมื่อขยับเดินไปในแต่ละก้าวจะมองเห็นประกายของเพชรเปลี่ยนสี เป็นสีต่างๆ ทั้งเขียว แดง เหลือง ขาว ฟ้าค่ะ
+++บริเวณพระเดีย์ชเวดากองจะมีพระพุทธรูปและรูปปั้นสัตว์ประจำวันเกิดตั้งอยู่รอบๆลานเป็นคู่  โดยสัตว์ประจำวันเกิดของพม่า จะมีดังนี้ค่ะ
  • วันอาทิตย์ ครุฑ  ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
  • วันจันทร์ เสือ  ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออก
  • วันอังคาร สิงห์  ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้
  • วันพุธ (กลางวัน) ช้างมีงา ตั้งอยู่ที่ทิศใต้
  • วันพุธ (กลางคืน) ช้างไม่มีงา  ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
  • วันพฤหัสบดี หนูหางยาว  ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตก
  • วันศุกร์ หนูหางสั้น  ตั้งอยู่ที่ทิศเหนือ
  • วันเสาร์ พญานาค  ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้

+++เชื่อ กันว่าการสรงน้ำพระพุทธรูปและสัตว์ประจำวันเกิดจะสร้างความบริสุทธิ์และความ สุขความเจริญแก่ผู้สรงน้ำ โดยวิธีการสรงน้ำนั้นจะสรงที่พระพุทธรูปองค์สีขาวด้านหน้าก่อน จากนั้นจึงสรงน้ำพระอินทร์ แล้วสรงที่เสาด้านหลัง และสุดท้ายจึงสรงที่สัตว์ประจำวันเกิด โดยจะรดน้ำด้วยขันเล็กๆที่มีจัดเตรียมไว้ให้เป็นจำนวนเท่ากับอายุ+1 แต่สำหรับผู้ที่อายุมากแล้วอาจจะลดลงเหลือ 5 ขัน ซึ่งหมายถึงพระรัตนไตรย์รวมกับบิดามารดาก็ได้ค่ะ

+++สำหรับ ท่านที่มีบุตรยากเชื่อกันว่าให้มาขอพรจากเทวดาอุ้มเด็กด้านขวามือจะทำให้มี บุตร ส่วนท่านใดที่มีบุตรแล้วอยากจะให้บุตรเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่ายให้ขอพรจากเทวดาถือดอกบัวด้านซ้ายมือค่ะ

+++นำ ท่านมารับประทานอาหารเย็นกันที่ภัตตาคารไพลินค่ะ อยู่ที่พม่ามาหลายวันแล้ว หลายท่านคงจะคิดถึงอาหารไทยรสจัดจ้าน มื้อนี้เราจะได้ทานอาหารไทยกันทั้งต้มยำ ผัดกะเพรา น้ำพริกค่ะ


+++คืนสุดท้ายในพม่าเราจะพักกันที่โรงแรม YUZANA HOTEL ค่ะ เป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้พระเจดีย์ชเวดาดอง สามารถมองเห็นวิวเจดีย์จากห้องพักเลยค่ะ โรงแรม YUZANA HOTEL เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวแต่ห้องพักใหญ่ กว้างขวางมากเลยค่ะ โทรทัศน์ในห้องพักสามารถรับชมช่องของไทยได้ด้วยนะคะ


****************************************************************************

วันที่สี่ของการเดินทาง  วันที่ 3 มกราคม 2556  เจดีย์โบดาทาวน์ – เทพทันใจ – สก็อตมาร์เก็ต – กรุงเทพฯ
+++อรุณ สวัสดิ์ค่ะ เช้านี้เรารับประทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ค่ะ จากนั้นเราเดินทางต่อไปยังเจดีย์โบดาทาวน์ค่ะ เจดีย์โบดาทาวน์ แปลว่า เจดีย์ทหารหนึ่งพันนาย ตำนานเล่าว่าเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะกษัตริย์มอญได้ทรงให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายเครื่อง สักการะแก่พระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าที่พ่อค้าสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือ และมาขึ้นฝั่งที่เมืองดากอง จึงสร้างเจดีย์โบดาทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระเกศา 1 เส้นมาบรรจุไว้ก่อนที่จะนำไปบรรจุในเจดีย์ชเวดากอง จนกระทั่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มกรุงย่างกุ้ง    ทำให้เจดีย์โบดาทาวน์องค์เดิมถูกทำลายลง แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบที่บรรจุพระเกศาธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ
+++เจดีย์โบดาทาวน์องค์ ใหม่สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2496 จึงได้มีการนำพระเกศาธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์โบดาทาวน์และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเข้าไปสักการะได้อย่าง ใกล้ชิด


+++ภายในบริเวณเจดีย์โบดาทาวน์เป็นที่ประดิษฐานของนัตโบโบยีหรือเทพทันใจนั่น เองค่ะเชื่อกันว่านัตโบโบยีเป็นเทพผู้ปกปักษ์รักษาและบันดาลโชค ผู้ที่เข้าไปอธิษฐานขอพรจากท่านจะได้ผลชะงัดรวดเร็วทันใจ จึงเป็นที่มาของชื่อ    เทพทันใจค่ะ โดยวิธีขอพรจากเทพทันใจนั้นให้นำเครื่องสักการะอันประกอบไปด้วยมะพร้าว กล้วยนากสีแดง ช่อใบไม้ที่เรียกว่าใบชัยชนะ ฉัตร และตุงขนาดเล็ก ซึ่งจะมีขายในบริเวณวัด ราคา 3,000 จั๊ตค่ะ ถวายแก่เทพทันใจ จากนั้นให้เตรียมเงินธนบัตร 2 ใบม้วนเป็นรูปกรวยซ้อนทับกันพับปลายแหลมขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนำไปใส่ไว้ในมือของเทพทันใจ จากนั้นนำหน้าผากของเราไปแตะชิดที่นิ้วชี้ของเทพทันใจพร้อมกับอธิษฐานสิ่ง ที่เราปรารถนาโดยจะขอได้เพียง 1 อย่างเท่านั้น จากนั้นนำผ้าสีไปคล้องคอท่านแล้วไหว้อีก 1 รอบพร้อมอธิษฐานขอธนบัตร 1 ใบเพื่อนำไปเก็บไว้เป็นศิริมงคล แล้วจึงหยิบเงินที่ซ้อนในกรวยในมือท่านออก 1 ใบนำมาเก็บรักษาไว้ค่ะ

+++นำท่านเดินทางไปซื้อของฝากก่อนเดินทางกลับประเทศไทยที่ตลาดสก็อตค่ะ  ตลาดสก็อตหรือตลาดโบยก อองซาน ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารการรถไฟของประเทศพม่าในกรุงย่างกุ้ง เปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. เป็นแหล่งรวมสินค้าของฝากทุกชนิด มีสินค้าหลากหลายมากค่ะ ทั้งอาหาร เสื้อผ้า เครื่องเงิน อัญมณี ไม้แกะสลัก เสื้อผ้า    เป็นต้นค่ะ สินค้าที่นี่ราคาไม่แพง สามารถต่อรองได้ และที่นี่ทุกท่านสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ด้วยเงินทุกสกุลทั้งจั๊ต บาท               และดอลล่าห์ค่ะ


+++ได้เวลาอันสมควรที่เราจะต้องโบกมือลาประเทศพม่าแล้วค่ะ นำทุกท่านเดินทางสู่สนามบินมิงกาลาดงเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย ด้วยสายการบิน Myanmar Airways ด้วยเที่ยวบินที่ 8M331 เวลา 16.30 น. ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเราก็เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 18.20 น. โดยสวัสดิภาพ การเดินทางในครั้งนี้เป็นทริปที่น่าประทับใจมากเลยค่ะ ทั้งได้ทำบุญต้อนรับปีใหม่ ได้ออกเดินทางเพื่อเปิดประสบการณ์ในโลกกว้าง หวังว่าทุกท่านที่ได้อ่านบันทึกการเดินทางนี้จะได้รับความสนุกสนาน และความรู้ไปไม่มากก็น้อย ท่านใดที่สนใจจะเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นเส้นทางพม่าอย่างที่มินไปใน ครั้งนี้ หรือเส้นทางอื่นๆ สามารถติดต่อได้ที่ Spirit of the World นะคะ ขอบคุณค่ะ


By...นักเดินทางหลงทิศ
****************************************************************************


ทัวร์พม่า   ทัวร์พม่า   ทัวร์พม่า   ทัวร์พม่า
ทัวร์ย่างกุ้ง   ทัวร์หงสาวดี   ทัวร์มัณฑะเลย์  ทัวร์พุกาม
ทัวร์ย่างกุ้ง   ทัวร์หงสาวดี   ทัวร์มัณฑะเลย์  ทัวร์พุกาม 
ทัวร์เกาหลี   ทัวร์เกาหลี  ทัวร์เกาหลี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น