วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สักการะ 3 ใน 5 มหาบูชาสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในประทศ พม่า โดยน้องวิ

ประเทศพม่า หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ประเทศ ที่ยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ความสวยงามของ วัฒธรรม และศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธศาสนา ในครั้งนี้เราจะไปเที่ยวและทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคล กันที่ย่างกุ้ง สิเรียม หงสาวดี พระธาตุอินทร์แขวนกันค่ะ
page
ชาวพม่าได้ชื่อว่า เป็นชนชาติที่ยังยึดมั่นคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่ที่สุดชาติหนึ่ง ในโลก มีการสร้างเจดีย์ พระธาตุ ศาสนสถาน ทั่วทั้งประเทศ ดัง นั้นจึงมีปูชนียสถานอันเป็นที่สักการบูชาของชาวพม่า และชาวมอญอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่นับถือเป็นมหาบูชาสถานสำคัญสูงสุดมีเพียง 5 แห่ง ที่เป็นความใฝ่ฝันของชาวพุทธพม่าว่าครั้งหนึ่งในชีวิตควรได้เดินทางไป สักการบูชาให้ครบทั้ง 5 แห่ง จึงจะนอนตายตาหลับหรือได้ขึ้นสวรรค์ มหาบูชาสถานทั้ง 5 แห่งนี้ได้แก่

1.มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง
2.เจดีย์ชเวซิกอง เมืองพุกาม
3.เจดีย์ชเวมอดอร์ เมืองหงสาวดี หรือที่เราเรียกกันว่า พระธาตุมุเตา
4.พระมหามัยมุนี แห่งมัณฑะเลย์
5.พระธาตุอินทร์แขวน “ไจก์ทิโย” เมือง ไจก์โถ่
เมื่อพูดถึง สิ่งศักดิ์ ในประทศ พม่า แล้วหลายๆท่านคงเคยไป สักการะกันบ้างแล้ว แต่สำหลับ หลายๆคนยังไม่เคยไป รวมถึงตัวดิฉันเอง ใน การเดินทางไปเป็น สตาฟ ให้กับ พี่ต๋อยหัวหน้าทัวร์  ซึ่งทริปนี้มีลูก ทั้งทั้งหมด 41 ท่านที่ร่วมเดินทางไปกับเรา ในวันที่ 06-09 มิถุนายน 56  ที่ผ่านมา โดย เส้นทางที่ บริษัทได้จัดไป ย่างกุ้ง  หงสาวดี  พระธาตุอินทร์แขวน สิเรียม  4วัน 3คืน สำหรับ ทริปนี้ เราได้ไป สักการะ 3ใน 5 มหาบูชาสถาน สิ่งศักดิ์ สูงสุดใน พม่า
  1. มหาเจดีย์ชเวดากอง กรุงย่างกุ้ง
  2. พระธาตุอินทร์แขวน “ไจก์ทิโย” เมืองไจก์โถ่
  3. เจดีย์ชเวมอดอร์ เมืองหงสาวดี หรือที่เราเรียกกันว่า พระธาตุมุเตา
1147 วันแรก ของการเดินทาง 06 มิถุนายน  2556         กรุงเทพฯ- ย่างกุ้ง
คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา  16.30 นาที  อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 7 เคาน์เตอร์ N สายการบิน MAYANMAR AIRWAYS จะมีเจ้าหน้าที่บริษัท SPiRiT OF THE WORLD และหัวหน้าทัวร์คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่ท่าน แล้วทำการเช็คอินและโหลดกระเป๋าสัมภาระ น้ำหนักกระเป๋าไม่เกินคนละ 30 กิโลกรัมนะค่ะ จากนั้นเชิญทุกท่านผ่านกระบวนการตรวจคนออกเมือง และช็อปปิ้งใน KING POWER รอเวลาเข้า GATE ได้เลยค่ะ  เครื่องออกเวลา 19.15 นาที ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ในการเดินทางบินจากกรุงเทพ-ย่างกุ้ง เวลาที่ประเทศพม่าจะช้ากว่าบ้านเรา 30 นาที บนเครื่องบินที่นั่งจะเป็นแถวละ 6 ที่นั่ง ซ้าย-ขวา 2 ฝั่ง ฝั่งละ 3 ที่นั่ง พอเครื่องบินออกได้ไม่นานแอร์ก็จะมาเสิร์ฟอาหาร จะเป็นขนมปัง และแซนวิส พร้อมน้ำเปล่า น้ำผลไม้และกาแฟ
20.00 น. (เวลาพม่านะค่ะ) ถึงสนามบินย่างกุ้ง ประเทศพม่า หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้วจากนั้นไกด์ท้องถิ่น ก็ พาเราก็ไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารจินเป่า อากาศที่พม่าก็จะมีฝนตดปรอยๆ ใช้เวลาเดินทางไปรับประทานอาหารเย็น ประมาณ 30 นาที ถึงร้านอาหาร เมนูแรกของ เรา ในพม่า วันนี้
หลังจากนั้น ได้เวลา พอสมควร นำทุกท่านเข้าสู่ที่พักโรงแรม YUZANA HOTEL  อยู่ห่างจากมหาเจดีย์ชเวดากองเพียง 10 นาทีเท่านั้น วิวบ้างห้องยังสามารถมองเห็นมหาเจดีย์ชเวดากองได้ด้วยค่ะ…………….ราตรี สวัสดิ์…………………………

1147 วันที่สอง ของการเดินทาง 07 มิถุนายน  2556       หงสาวดี  เจดีย์ไจ๊ปุ่น  วัดไจ้คะวาย  พระธาตุมุเตา พระนอน ชเวตาเลียว
001
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สอง วันนี้เราต้องออกแต่เช้าหน่อยเพราะต้องเดินทางสู่เมืองหงสาวดี และขึ้นสู่พระธาตุอินทร์แขวน จากเมืองย่างกุ้งถึงเมืองหงสาวดี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ วันนี้ บรรยากาศวันนี้มีครึมฟ้าครึมฝนแต่ฝนไม่ตกค่ะบรรยากาศ เย็นๆ
004
เมืองหงสาวดี หรือ เมืองพะโค เป็นเมืองของชาวมอญมาก่อนในอดีตหงสาวดีเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนองและ ได้ถูกเผาไปในสมัยพระเจ้านันทบุเรง สัญลักษณ์ของเมือง คือ หงส์คู่ มีตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาถึงเมืองหงสาวดีที่สมัยก่อนยังคงเป็นชายหาดริมทะเล พระพุทธเจ้าได้ทรงเห็น หงส์สองตัวอยู่บนเกาะเล็กๆเซึ่งเกาะนั้น มีพื้นที่ให้หงส์แค่ตัวเดียวซึ่งหงส์ตัวผู้ ได้ยืน แล้วให้หงส์ตัวเมียยืนบนหลัง  จึงทำนายออกมาว่าภายหลังจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ชาวหงสาวดีจึงถือเอาตำนานเรื่องนี้มาเป็นสัตว์สัญลักษณ์ นอกจากนี้ ตำนานยังกล่าวว่า หงส์คู่นั้น ตัวเมียขี่ตัวผู้ จึงมีคำทำนายว่าต่อไปผู้หญิงจะเป็นใหญ่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นคือ พระนางเชงสอบู (ตะละแม่ท้าว) นั่นเอง
page1
เมื่อเข้าสู่เมืองหงสาแล้วสถานที่แรกที่เรา จะพาไปคือ วัดไจ๊ปุ่น เป็น วัดเล็กๆที่มีอายุกว่า 500 ปี สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ไปทุกทิศ แทนความหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ มีตำนานเล่าว่า พระราชธิดาทั้งสี่องค์ของกษัตริย์มอญที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปแทนตนเองและได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ ต่อมาน้องสาวคนสุดท้อง กลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบัน โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ
page2
การรอใส่บาตร อย่างใจจดใจจ่อ
จากนั้นนำทุกท่านร่วมทำบุญที่ วัดไจ้คะวาย วัดนี้ไม่ใช่วัดประเภทที่มีชื่อในเรื่องของเจดีย์หรือพระพุทธรูปองค์โตสูง ใหญ่ แต่วัดนี้มีชื่อในเรื่องของการเป็นโรงเรียนสอนพระพุทธศาสนาเปรียญธรรมชั้น ตรี, โท และเอก อันโด่งดังของพม่า จึงมีคนส่งลูกหลานมาบวชเรียนธรรมะที่นี่กันเป็นจำนวนมากนับพันรูป อีกทั้งยังเป็นวัดที่มีคนนิยมทำบุญใส่บาตรพระหมู่เลี้ยงอาหารพระเพลกันเป็น ประจำ สำหรับตัว ดิฉัน มีโอกาสได้เห็นและได้ใส่บาตร พระ-เณรพม่าจำนวนมากที่เดินขบวนกันเป็นแถวยาวนับพันรูปพระทุกรูปท่านเดิน เป็นขบวนเพื่อให้พุทธศาสนิกชนรวมถึงนักท่องเที่ยว ได้ทำบุญใส่บาตรกันตามจิตศรัทธาของแต่ละคนต่างหาก ซึ่งแตกต่างจากการใส่บาตรหมู่ทั่วไปตรงจะมีถังใบใหญ่ๆ สองใบสำหรับไว้ใส่ข้าว นักท่องเที่ยวได้ตักข้าวใส่บาตร และที่ต่างจากวัดอื่นๆ คือ ที่พระ-เณรท่านไม่ได้ออกมาเดินบิณฑบาตให้ชาวพุทธที่นั่งรอ-ยืนรอใส่บาตร เหมือนการใส่บาตรปกติในยามเช้าตรู่ แต่นี่เป็นการใส่บาตรในช่วงสายๆที่เราเดินทางไปใส่บาตรกันถึงที่ในวัดเลยที เดียว
page3
ได้บุญกันถ้วนหน้าจากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือ พระธาตุมุเตา ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงหงสาวดี พระธาตุมุเตาเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดของพม่า มีความสูงถึง 114 เมตร ซึ่งเป็นต้นเหตุของชื่อพระธาตุมุเตา เพราะพระธาตุ  มุเตาสูงจนต้องแหงนหน้ามองจึงจะเห็นยอดของพระธาตุ จึงเป็นเหตุให้แสงแดดที่แรงกล้าเผาจมูกจนแสบร้อน ซึ่งคำว่าจมูกร้อนในภาษามอญเรียกว่า มุเตา นั่นเองค่ะ   พระธาตุมุเตามีความโดดเด่น คือเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญ มีฉัตรแบบเรียบๆ และมีองค์ระฆังของเจดีย์ที่มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ภายในเป็นอิฐกลวง บริเวณรอบๆองค์เจดีย์มีพระพุทธรูปหลายองค์ให้กราบไหว้ ซึ่งมีลักษณะศิลปะของมอญผสมกับศิลปะของพม่ามีความสวยงามและที่เป็นจุดเด่น อีกจุดหนึ่งก็คือ ซากเจดีย์องค์เดิมที่พังทลายลงมาเมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และไม่พังเสียหายเลย ซึ่งในศตวรรษที่ 20 ได้เกิดภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวถึงสี่ครั้ง ครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1930 เกิดความเสียหายอย่างมาก จนถึงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทำการบูรณะขึ้นใหม่จากแรงกายและกำลังทรัพย์ของผู้มีจิตศรัทธาจนถึง ปัจจุบันพระเจดีย์สูงถึง 114 เมตร ถ้าเดินรอบ ๆองค์เจดีย์ท่านจะได้เห็นซากเจดีย์องค์เดิมที่พังทลายลงมาเมื่อเกิดแผ่นดิน ไหวครั้งใหญ่
บางตำนานก็เล่าว่า พระธาตุมุเตาเป็นที่เลื่องลือและเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสแก่ชาวพม่าเป็นอย่างมาก พระ เจ้าตะเบ็งชะเวตี้ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของตองอู สมัยที่ยังมีพระพรรษาเพียง 14 พรรษา กล้าที่จะนำทัพบุกเข้าไปเมืองมอญ เพื่อทรงทำพิธีเจาะพระกรรณ (เจาะหู) ตามราชประเพณี ที่พระธาตุมุเตาซึ่ง กว่าจะทำพิธีเสร็จก้อได้มีศัตรูส่งทหารมาปิดล้อมบริเวณที่ทำพิธีแต่ด้วยความ กล้าของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ พระองค์ก็ได้นำกำลังทหารฝ่าวงล้อมกลังตองอูได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเมื่อครั้งพระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ ก็ได้ย้ายเมืองจากทองอูมาตั้ง ณ เมืองหงสาวดี ครั้นเมื่อสิ้นสมัยการปกครองของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ พระเจ้าบุเรงนองก็ได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์ของพม่าองค์ต่อไป ทางด้านพระเจ้าบุเรงนองเองก็มีความศรัทธาในองค์พระธาตุมุเตาอยู่แล้ว ท่านก็ได้ทรงแกะอัญมณีเม็ดใหญ่จากพระมงกุฎถวายเพื่อเป็นพุทธบูชา พร้อมทั้งยังขยายบริเวณ กำแพงเมืองจากพระราชวังบุเรงนองให้ขยายไปถึงยังพระธาตุมุเตา เพื่อที่จะได้ทรงมองเห็นองค์พระธาตุมุเตาจากพระราชวังบุเรงนองได้อย่างชัดเจน และนอกจากนี้ก่อนที่พระเจ้าบุเรงนองจะออกศึกออกรบแต่ละครั้งท่านก็จะไปกราบนมัสการ กราบขอพรจากพระธาตุมุเตาเพื่อที่จะให้ทำศึกได้รับชัยชนะกลับมาทุกครั้งไปนอกจากชาวพม่าที่มีความศรัทธาเลื่อมใสต่อองค์พระธาตุแล้วทางด้านสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของคนไทยเองเมื่อตอนที่โดนจับตัวไปเป็นตัวประกันที่เมืองหงสาวดี ท่านก็ทรงเสด็จไปสักการะพระธาตุมุเตาอยู่เป็นประจำด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาต่อองค์พระธาตุ     จึงทำให้ชาวพม่าไปกราบไหว้ต่อองค์พระธาตุมุเตาอย่าง ไม่ขาดสายและสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2473 จึงทำให้ยอดของพระธาตุมุเตาหัก พังลงมาแต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากคือ เมื่อยอดพระธาตุหักลงมาแต่องค์พระธาตุไม่หักลงถึงพื้น จึงเป็นความเชื่อของประชาชนทั้งชาวพม่าและชาวไทยว่าหากใครได้ไปกราบไหว้องค์ พระธาตุแล้วได้เอธูปไปค้ำไว้กับยอดพระธาตุที่หักลงมาแล้วเอาหน้าผากไปแตะ กับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมาจะทำให้ชีวิตของคน
จะไม่ตกต่ำถึงที่สุดก็เปรียบเหมือนยอดพระธาตุที่ต่อให้ตกยังไงก็ตกไม่ถึงพื้นและทำให้ชีวิตของคนนั้นมีความมั่นคงถาวร ยอดขององค์พระธาตุมุเตาได้ มีการบูรณปฏิสังขรณ์จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2497 และยอดของพระธาตุที่หักลงมาตั้งอยู่บริเวณลานทางทิศเหนือของพระธาตุองค์ใหม่ ซึ่งลานตรงนี้เองได้กลายเป็นสถานที่อธิษฐานขอพรเพราะความเชื่อที่ว่า เมือขอพรทางด้านทิศเหนือ ถ้าเราทำอะไรจะได้อยู่เหนือคนอื่นเสมอค่ะ…………^_^!!

ปัจจุบันพระธาตุมุเตาได้กลายเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าที่มีผู้คนทั้งคนพม่าและนักท่องเที่ยวใช้  เป็น สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้เป็นอย่างดีด้วยปัจจุบันที่ประเทศกำลังเป็นแบบนี้ เลยทำให้คนไทยส่วนใหญ่อยากที่จะเดินทางไปพม่ากันอย่างมากมาย และเชื่อแน่ๆว่าหากเราเดินทางไปพม่านอกจากจะได้เห็นในส่วนของความสวยงามของ องค์พระธาตุแล้วยังได้เห็นความสวยงามทางด้านจิตใจของคนพม่าอีกด้วยเพราะคน พม่าส่วนใหญ่แล้วยามว่างจากการทำงานเค้าก็จะไปนั่งสมาธิยังวัดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ตัวนักเดินทางเองเห็นแล้วอดที่จะประทับใจไม่ได้ เพราะหากเป็นเมืองไทยเองคนที่จะเข้าวัดนั่งสมาธินั้นต้องเป็นคนแก่วัยเกษียณ แต่ในทางกลับกันที่พม่าเรากลับมองเห็นทั้งวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่นั่งสมาธิกัน อยู่ทุกมุมที่สงบภายในวัดเป็นภาพที่น่ารัก มาก  พอหอมปากหอมคอค่ะ นำทุกท่านเดินสายทำบุญกันต่อ ที่วัดพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวกันได้เลยค่ะ….^_^!!
011
page4
วัดพระพุทธไสยาสน์ ชเวตาเลียวเป็น ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองหงสาวดีรองจากพระมหาธาตุมุเตา มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุตสร้างในสมัยที่มอญปกครองเมืองหงสาวดีเมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อน ตามตำนานเล่ากันว่าพระนอนแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่มั่นคงสร้าง ขึ้นโดยเจ้าชายมอญผู้นับถือผีซึ่งประสงค์จะแต่งงานกับหญิงชาวบ้านที่นับถือ พุทธ แต่พระบิดาไม่ยอมให้แต่งงานกัน
หากหญิงผู้นั้นไม่เปลี่ยนมานับถือผี และจะประหารหญิงที่เจ้าชายรักให้ได้ก่อนถูกประหาร หญิงสาวจึงตั้งจิตระลึกถึงพระพุทธคุณอย่างแน่วแน่ทันใดนั้นรูปปั้นผีที่พระ บิดาของเจ้าชายนับถือก็แตกหักลงมา จึงเชื่อกันว่าเป็นพุทธปาฏิหารย์จากนั้นเป็นต้นมา กษัตริย์มอญผู้นั้นจึงสำนึกและชุกคิดว่าตนได้ลบหลู่ศาสนามากพระองค์จึง เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและได้สร้างพระพุทธไสยาสน์หรือพระนอนเพื่อเป็นอนุสรณ์
แสดงถึงความรักอันมั่นคงของหนุ่มสาว และความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาหลังจากนั้นอิสระ ชอปปิ้งบริเวณด้านล่าง จะมีของขายมากมายที่รอ นักท่องเที่ยวมาจับจ่าย……………….. ^__^ !!
009       009       009      009      009     009

ได้เวลาพอสมควรแล้วจากนั้นนำทุกท่านมารับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร  ( กุ้งแม่น้ำ ย่างตัวโตๆ ท่านละ 1 ตัว )  หลังอาหารเที่ยงนำทุกท่านเดินทางไปยัง เมือง ไจ้โท ตลอดระยะทางหลายสิบกิโลเมตร
page5
เราจะได้พบเห็นวิถีชีวิตของชาวพม่า ตลอดระยะเวลาการเดินทางมีฝนตกทำให้บรรยากาศเย็นตลอด ทาง จากนั่นเราได้เดินทางผ่าน สะพานข้ามแม่น้ำสะโตง   แม่น้ำแห่งนี้มีความยาวประมาณ 420 กิโลเมตร ความกว้างประมาณ 3 กิโลเมตรในช่วง ฤดูน้ำหลาก  เป็นแม่น้ำที่ แบ่งเขตการปกครองระหว่าง เมืองบะโค และรัฐมอญ  มีประวัติศาสตร์สำคัญเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ได้ทำการยิงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง ได้ยิงปืนคาบศิลาจากอีกฝั่งไปอีกฝั่งถูกแม่ทัพพม่าเสียชีวิตคาคอช้าง
page6
จากนั่นเราได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนรถ เราเปลี่ยนจาก รถโค้ชปรับอากาศ  มาเป็น รถ 6 ล้อที่ถูกขนานนามว่า  “รถขนหมู” ค่ะ 
จากระยะทาง ขึ้นไป ใช้เวลา ประมาณ  45 นาที  ด้วยเส้นทาง ขึ้นเขา และโค้งหักศอกเลยทีเดียว  เพื่อขึ้นสู่ คิมปุ่นแค้ม เป็นเส้นทางที่น่าตื่นเต้นมากและลุ้นกันว่าฝนมันจะตกไหม ?  แต่แล้วฝนก็ไม่ตกค่ะ   ถึงคิมปุ่นแค้ม เรียบร้อยแล้ว  ทุกคนเตรียมตัวพี่ไกด์ได้แจกเบอร์สำหรับจับคู่เสลี่ยงของตัวเองค่ะ
page7
ขึ้นเสลี่ยงแล้วค่ะไม่ร้อนอากาศเย็นๆแต่คนแบกเสลี่ยงเก่งมากค่ะ แข็งแรงมากการแบกเสลียง  1คนนั่ง  4 คนหาม  ระยะทาง  4 กิโลเมตร จาก คิมปุ่นแค้ม ขึ้นไปถึง ที่พัก ใกล้กับพระธาตุอินทร์แขวน   ใช้เวลานั่งอยู่บนเสลี่ยง ประมาณ 45-50 นาที ค่ะ
page8
ถึงจุดส่งลูกค้า เราจะเดินเท้าเข้าที่พัก ประมาณ 5 นาที ถึงที่พักค่ะ   ด้านหน้าที่พักโรงแรม Kyaitho  Hotel เดินทางถึงโรงแรมเรียบร้อยแล้ว รับกุญแจห้องพัก  เอากระเป๋าสัมภาระ เข้าไปเก็บที่ห้องพักให้เรียบร้อยก่อน  จากนั้น เราก็จะเตรียมตัว ขึ้นไป นมัสการพระธาตุอินทร์แขวนในบรรยากาศยามเย็นค่ะ

ถึงแล้วววฺ……… พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า พระธาตุประจำปีเกิด ของคนเกิดปีจอ  ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้โถ อำเภอสะเทิม   เขตรัฐมอญ  ประเทศพม่า  บนยอดเขา เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต มีลักษณะของพระธาตุ เป็น

001
ก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง 5.5 เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ
เรื่องเล่าขาน  พระธาตุอินทร์แขวนเมื่อ ครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้มอบ พระเกศา ให้กับ ฤาษี ตนหนึ่ง มีนามว่า ตัสสะ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้มาแสดงธรรมเทศนา ที่ดินแดนสุวรรณภูมิ  เพื่อเป็นตัวแทนพระพุทธองค์  หลังจากที่ได้รับพระเกศาแล้ว ฤาษีตัสสะ ก็ได้นำพระเกศาไปซ่อนไว้ที่มวยผม จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฤาษีตัสสะก็แก่ชราไปและถึงเวลาที่ต้องละสังขาร ฤาษีตัสสะตั้งใจไว้ว่าจะเอาพระเกศา ไปเก็บไว้ในก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนศีรษะของเขา   พระอินทร์เห็นความตั้งใจของเขาจึ่งช่วยเสาะหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายกับ ศีรษะมาจากใต้มหาสมุทร และนำมาวางไว้ที่หน้าผาสูงเมืองไจ้โถ แห่งนี้ จนถึงปัจจุบัน ก็ยังคงมีแรงศรัทธาของผู้คนทุกสารทิศ ที่ขึ้นมากราบสักการะ  ชาวพม่าเลื่อมใสพระพุทธศาสนามาก และพระธาตุอินทร์แขวนจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ชาวพม่าเชื่อว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องมากราบนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนให้ ได้ เพื่อเสริมศิริมงคลความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชีวิต  ชาวพม่าส่วนใหญ่ ที่พบเห็น จะมานั่งสวดมนต์ขอพร กับพระธาตุ  มาทุกครั้ง ก็เห็นชาวพม่าเยอะๆทุกครั้งที่ขึ้นมา
ได้เวลาพอสมควรเดินทางกลับ มารับประทานอาหารเย็น ที่โรงแรม Kyaitho  Hotel  จากนั้นพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ…………….ราตรีสวัสดิ์…………………………
1147วันที่สาม ของการเดินทาง 08 มิถุนายน  2556   พระธาตุอินทร์แขวน   หงสาวดี  พระราชวังบุเรงนอง เจดีย์ชเวดากอง  
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สาม บริการ อาหารเช้า ที่โรงแรม อาหาร เป็นแบบ บุฟเฟ่ต์ รสชาติอาหาร ใช้ได้เลยนะคะ   หลังจากรับประทานอาหารเช้า เรียบร้อยแล้ว  เราก็กลับลง มาจากพระธาตุอินทร์แขวน  ช่วงเช้า ตอนกลับลงมา ก็เช่นเคยค่ะ  ต้องนั่งเสลี่ยงลงมาเช่นเคย  ความชุลมุน วุ่นวาย ยังคงเหมือนเดิม เพราะต่างคนต่างหา คนหามคนเดิม   กลับลงมาข้างล่างระยะทางตอนขึ้นที่ว่าตื่นเต้น  แล้ว ตอนลงนิซิค่ะยิ่งกว่า ถึงจุดเปลี่ยนรถ เราก็ต้องกลับมา นั่งรถ 6 ล้อ ขนหมู ลงมาอีกเช่นเคยค่ะ
กลับจากพระธาตุอินทร์แขวน  มาทางเส้นทางเดิมค่ะ พอถึงก็เที่ยงแล้วมาทานอาการกลางวันกันที่ เมืองหงสาวดี  ณ ภัตตาคาร เจ้าสัว  ( เมนู…กุ้งแม่น้ำย่างอีกแล้วค่ะ )
page9
อิ่มกันเล้วหลังจากอาหารเที่ยงนำท่านเดินทางไปยัง พระราชวังบุเรงนองปัจจุบัน นี้ เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่  จากการขุดพบเสาพระราชวังและแนวกำแพงเดิม ในปี พ.ศ.2533 รัฐบาลจึงได้สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ลักษณะ อันโดดเด่น ของพระราชวังบุเรงนอง คือ ความสวยงามของสีทองคำ ทั้งหลัง  ทั้งด้านในท้องพระโรงและราชบัลลังก์  ที่ออกว่าราชการ ทั้งหมดก็เป็นสีทองคำ  มีการจัดโชว์เครื่องราชบรรณาการต่างๆ  และมีได้นำ  เสาไม้สักที่ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ.2533 มาโชว์ไว้ในห้องโถงพระราชวังอีกด้วย
page10
บรรยากาศด้านนอกมีฝนตกเล็กน้อยอากาศเย็นๆค่ะ
จากนั้นนำท่านออกเดินทางไปยังเมืองย่างกุ้งเพื่อที่จะไปชมอีก สถานที่อีก 1 แห่งที่สำคัญในประเทศพม่าค่ะนำท่านนมัสการ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์เวดากอง   เจดีย์ ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว เชื่อว่า มีพ่อค้าพี่น้องสองคนชาวพม่ามีนามว่า ตปุสสะกับภัลลิกะได้เดินทางจากแดนไกลมาค้าขาย พ่อค้าชาวพม่าทั้งสองเกิดความเลื่อมใสพระพุทธเจ้าได้ถวายข้าวสัตตูให้พระ พุทธเจ้าทรงเสวย หลังจาก
page11
พระพุทธเจ้าได้ทรงเสวยเสร็จแล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศาจำนวนแปดเส้นติดพระหัตถ์มาทรงพระราชทานให้พ่อค้าทั้งสองคนไปและในระหว่างเดินทางกลับบ้านพ่อค้าทั้งสองคนต้องประสบปัญหายุ่งยากนานัปการนับตั้งแต่พระราชาแห่งนครอเชฏฏะ
ทรงลอบขโมยพระเกศาธาตุไปสองเส้นและในขณะที่แล่นเรือข้ามอ่าวเบงกอลอยู่ นั้นได้ปรากฏพญานาคราชตนหนึ่งผุดขึ้นมาจากท้องมหาสมุทรช่วงชิงเอาพระเกศา ธาตุไปอีกสองเส้น ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อพ่อค้าทั้งสองเดินทางกลับมาถึงบ้านเมืองแล้วพระเจ้าพระ โอกกลาปะก็ทรงจัดพิธีต้อนรับมีงานเฉลิมฉลองพระเกศาธาตุอย่างมโหฬารและได้ทำ การเลือเฟ้นสถานที่ที่จะสร้างพระมหาเจดีย์ขึ้นเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุ ของพระพุทธเจ้า และเมื่อพระเจ้าโอกกลาปะทรงเปิดกล่องที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าออก พระเกศาธาตุได้สำแดงปฏิหารย์กลับคืนมาอยู่ในกล่องครบทั้งแปดเส้นเช่นเดิม ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนัก พระองค์ทรงทอดพระเนตรด้วยความปลื้มปิติล้นพ้น ปัจจุบันพระเจดีย์มีความสูง 98 เมตร บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด โดยเฉพาะชิ้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม นิล บุษราคัม 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดเขื่องอยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ด้านบนเหนือฉัตรขนาด 10 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นบนไม้หุ้มทองเจ็ดเส้น ประดับด้วยกระดิ่งทองคำ 1,065 ลูก และกระดิ่งเงิน 420 ลูก รอบฐานพระเจดีย์มีจะมีให้สรงน้ำพระประจำวันเกิด องค์เทพต่างๆให้ได้กราบไว้บูชาด้วยค่ะ จากนั้นก็ไปชมความงดงามของอัญมณีบนยอดเจดีย์ โดยจะมีสัญลักษณ์ที่พื้นแต่ละจุดจะเห็นแสงสีต่างๆตามสีอัญมณีค่ะ
พื้นที่รอบ องค์พระมหาเจดีย์ใหญ่ ประกอบด้วยเจดีย์ใหญ่เล็กรอบทิศ  แต่ละทิศ มี ปีนักษัตร ประจำวันเกิด แต่ละปี อยู่ตามทิศแต่ละทิศ นักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชน นิยม มาทรงน้ำพระและนักษัตร ประจำวันเกิด เพื่อเสริมศิริมงคล ให้กับชีวิต  จากนั่นนำท่านไปสักการะสุริยัน จันทรา เพื่อเป็นศิริมงคลก่อนที่จะให้ท่านไปมา ทรงน้ำพระและนักษัตร ประจำวันเกิด
โดยรอบพระเจดีย์ แต่ละทิศ จะมีสัตว์ประจำวันเกิด แต่ละทิศ ดังนี้
วันอาทิตย์              มีสัญลักษณ์เป็น   ครุฑ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วันจันทร์                มีสัญลักษณ์เป็น   เสือ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก
วันอังคาร              มีสัญลักษณ์เป็น   สิงห์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
วันพุธ(กลางวัน)      มีสัญลักษณ์เป็น ช้างมีงา ตั้งอยู่ทางทิศใต้
วันพุธ(กลางคืน)     มีสัญลักษณ์เป็น ช้างไม่มีงา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
วันพฤหัสบดี          มีสัญลักษณ์เป็น หนูมีหาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก
วันศุกร์                  มีสัญลักษณ์เป็น  หนูไม่มีหาง(หนูตะเภา) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ
วันเสาร์                 มีสัญลักษณ์เป็น พญานาค ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
033
เจดีย์ชเวดากอง เปิดให้พุทธศาสนิกชน  เช้าชม เวลา 04.00 น.- 21.00 น  ของทุกวัน  สำหรับนักท่องเที่ยวต้องเสียค่าเข้าชม ท่านละ 5 เหรียญ ดอลล่าห์ สหรัฐ  สามารถใช้บริการขึ้น-ลง ลิฟต์ ได้ มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความสะดวก
หลังจากสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากองแล้ว นำทุกท่านไปทานอาหารค่ำที่ภัตราคารการะเวกก์ ซึ่งเรือนการะเวกก์อดีตเป็นสถานที่จัดงานสำคัญของคนสำคัญ แต่ตอนนี้ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาใช้บริการ พร้อม ชมการแสดงนาฏศิลป์ของพม่า อันงดงาม อ่อนช้อย บนทะเลสาบหลวง ภัตตาคารแห่งนี้สร้างตามต้นแบบเรือกัญญาของราชวงศ์พม่า หัวเรือเป็นรูปนกการะเวกก์สัตว์ในเทพนิยายอินเดีย หลังคาทำเป็นทรงปราสาทซ้อนสูง ภายในตกแต่งด้วยงานลงรักปิดทองประดับกระจกสี หินอ่อน และงานฝังมุก  ประดับไฟอย่างงดงาม ท่านสามารถเห็นทิวทัศน์ของพระมหาเจดีย์ชเวดากองได้งดงามน่าประทับใจอย่าง ยิ่ง
จากนั้นก็เดินทางเข้าโรงแรมที่พัก YUZANA  HOTEL โรงแรมเดิมที่คณะเราพักคืนแรกค่ะ  หลังจากนั้นพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ…………….ราตรีสวัสดิ์…………………………

1147 วันที่สี่  ของการเดินทาง 09 มิถุนายน  2556   พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตจี   สิเรียมพระเจดีย์เยเลพะยา วัดบารมี ตลาดสก็อต กรุงเทพ
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สาม บริการ อาหารเช้า ที่โรงแรม หลังจากนั้น นำทุกท่านเดินไปเที่ยวต่อที่พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตยี หรือพระตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว สั่งผลิตมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะรวมไปถึงพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริงและเมื่อเดินมายังปลายสุด พระบาทของพระนอนองค์นี้ ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด 108 ประการ
034
035
จากนั้นเราเดินทางต่อไปเมืองสิเรียมซึ่งห่างจากเมืองย่างกุ้งประมาณ 40 นาทีค่ะ  สิเรียมเป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำหงสาและแม่น้ำย่างกุ้ง ซึ่งในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองท่าสำคัญในการเดินเรือของชาวโปรตุเกส ปัจจุบันเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรม ชาวเมืองส่วนใหญ่ทำงานในโรงกลั่นน้ำมันหรือไม่ก็เป็นลูกจ้างในโรงเบียร์ ประชากรส่วนมากเป็นชาวพม่าเชื้อชายอินเดีย เพราะในสมัยที่พม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ สิเรียมเป็นศูนย์กลางของเมืองท่าและยังเป็นแหล่งผลิตอาหารส่งสู่กรุงย่างกุ้ง และอังกฤษต้องเกณฑ์แรงงานอินเดียมาทำนา แล้วพากันมาปักหลักทำมาหากินกันจนถึงปัจจุบันนี้
036
เมื่อถึงเมืองสิเรียมแล้วเราต้องนั่งเรือข้ามฟากไปยังเจดีย์กลางน้ำหรือ เจดีย์เยเลพญา เป็น เจดีย์ที่ลอยอยู่กลางน้ำนับพันปี ตามตำนานเล่ากันว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยมอญเรืองอำนาจ เมื่อราวพันกว่าปีก่อน โดยมีคหบดีชาวมอญเป็นผู้สร้างและยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าน้ำท่วมก็ขออย่าให้ท่วมองค์พระเจดีย์ ถ้ามีผู้คนมากราบไหว้จำนวนมากเท่าไหร่ก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ เพราะเจดีย์แห่งนี้สร้างบนเกาะมีสภาพเป็นเพียงเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำกว้างใหญ่ เท่านั้น และเล่ากันว่าหากต้องการทำการค้าหรือธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมาขอพรต่อพระเจดีย์แห่งนี้ แล้วจะทำให้การทำธุรกิจทางการค้า เจริญก้าวหน้าและสมดังใจหวัง เมื่อถึงแล้วเราก็ไปนมัสการพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิเก่าแก่ที่ ประดิษฐานบนบัลลังก์ไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวที่งดงาม ซึ่งมีอายุนับพันปี  หลังจากนั้นก็นั่งเรือกลับขึ้นฝั่งและเดินทางกลับเข้าเมืองย่างกุ้งค่ะ แล้วเราก็เดินทางไปยังเจดีย์โบดาทาวน์
037

เจดีย์โบดาทาวน์ แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000นาย เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่ง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้ จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบดาทาวน์องค์เดิมถูกทำลายพินาศ แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบทรงสถูปบรรจุพระเกศธาตุและพระบรม สารีริกธาตุ เมื่อเจดีย์โบดาทาวน์องค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าชมในอาณาบริเวณเจดีย์โบดาทาวน์คือ พระพุทธรูปทองคำ ประดิษฐานในวิหารด้านขวา ซึ่งเป็นพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก
DSCF5801
จากนั้นเราเดินไปทางด้านซ้ายไปไหว้ขอพรจากเทพทันใจหรือนัตโบโบจี ว่ากันว่าขอพรจากเทพองค์นี้ได้ผลรวดเร็วทันใจยิ่งนัก วิธีการกราบไหว้นำเครื่องบูชา มาถวายให้ท่านแล้วนำเงินม้วนไว้ 2 ใบใส่ที่มือของท่านจากนั้นก้มศีรษะเพื่อให้หน้าผากของเราติดกลับปลายนิ้วชี้ ของท่านอธิษฐานขอพรแล้วขอลานำเงินออกจากมือท่านเก็บไว้เป็นสิริมงคล 1 ใบค่ะpage12
จากนันนำทุกท่านไปรับประทาย อาหารกลางวันที่ร้านอาหาร  Western Park ร้านนี้จะเป็นอาหารจีน เมนูเด็ดร้านนี้คือ สลัดกุ้งมังกร และเป็ดปักกิ่งค่ะ จะมีแม่ครัวมาสาธิตการแล่เนื้อเป็ดให้เราดูด้วยค่ะ
page13
หลังจากนั้น นำท่านเดินทางไปซื้อของฝากก่อนเดินทางกลับประเทศไทยที่ตลาดสก็อตค่ะ  ตลาดสก็อตหรือตลาดโบยก อองซาน ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารการรถไฟของประเทศพม่าในกรุงย่างกุ้ง เปิดทำการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. เป็นแหล่งรวมสินค้าของฝากทุกชนิด มีสินค้าหลากหลายมากค่ะ ทั้งอาหาร เสื้อผ้า เครื่องเงิน อัญมณี ไม้แกะสลัก เสื้อผ้า    เป็นต้นค่ะ สินค้าที่นี่ราคาไม่แพง สามารถต่อรองได้
page14

ก่อนกลับเรานำทุกท่านไปขอพรกันที่ วัดบารมี (พระเกศามีชีวิต) ให้ ทุกท่านได้สักการะพระเกศาของพระพุทธเจ้า ที่เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่จริง ด้วย พระเกศาธาตุนี้เมื่อนำมาวางบนจานแก้ว จะสามารถเคลื่อนไหวได้อีกทั้งวัดนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นที่เก็บองค์พระ บรมสารีริกธาตุไว้มากที่สุดด้วยไม่ว่าจะเป็นของพระโมคาลา พระสารีบุตร และองค์พระอรหันต์ต่าง ๆ
ได้เวลาอันสมควรที่เราจะต้องโบกมือลาประเทศพม่าแล้วค่ะ นำทุกท่านเดินทางสู่สนามบินมิงกาลาดงเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย ด้วยสายการบิน Myanmar Airways ด้วยเที่ยวบินที่ 8M331 เวลา 16.30 น. ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีเราก็เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 18.20 น. โดยสวัสดิภาพ การเดินทางในครั้งนี้เป็นทริปที่น่าประทับใจมากเลยค่ะ ทั้งได้ทำบุญ ได้ออกเดินทางเพื่อเปิดประสบการณ์ในโลกกว้าง ได้เก็บภาพความประทับใจ มาฝากผู้อ่านทุกท่าน แต่ว่ากันว่ากล้องที่ จับภาพได้ดีที่สุดสวยที่สุดละเอียดที่สุดคือกล้องจากสายตาของตัวเราเองนะ ค่ะ   หวังว่าทุกท่านที่ได้อ่านบันทึกการเดินทางนี้จะได้รับความสนุกสนาน และความรู้ไปไม่มากก็น้อย ท่านใดที่สนใจจะเดินทางท่องเที่ยวและเก็บภาพสวยๆ สามารถติดต่อได้ที่ Spirit of the World นะคะ ขอบคุณค่ะ
เขียนและเรียบเรียงโดย :: น้องวิ  Spirit of the World

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น