วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บันทึกนักเดินทาง … ทริปเวียดนามเหนือ

บันทึกนักเดินทางทริปเวียดนามเหนือ

…ทริปนี้มีกำหนดการเดินทางตั้งแต่วันที่ 19 – 23 ตุลาคม 2555 นะค่ะ

ก่อนที่จะนำตะลุยทริปสุดสนุก ท่ามกลางธรรมชาติสุดสวย และบรรยากาศอันอบอุ่น

ขอแนะนำถึงประเทศเวียดนามพอสังเขปก่อนนะค่ะ…

ชื่อประเทศ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)
อาณาเขต 331,689 ตารางกิโลเมตร ประชากร 90,549,390 คน (ค่าประมาณ พ.ศ. 2554)
ลักษณะภูมิประเทศ มีลักษณะเป็นรูปตัว S ตามแนวฝั่งตะวันตกของทะเลจีนใต้ ความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,650 กิโลเมตร ขนานไปตามแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ยังมีไหล่เขาและหมู่เกาะต่างๆ อีกนับพันเกาะเรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าวไทย เนื่องจากแผ่นดินของเวียดนามมีความยาวมาก ทำให้ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ แตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยอาจแบ่งได้เป็น 4 ส่วนคือ ภาคเหนือ ภาคกลาง เขตที่ราบสูง และภาคใต้ ภาคเหนือ จากพื้นที่เหนือสุดถึงจังหวัดกวางบินห์ (Quang Binh) ภูมิประเทศประกอบด้วยภูเขาสูงมากมาย โดยเฉพาะเทือกเขาฟานซีปาน (Fansipan ) ซึ่งสูงถึง 3,143 เมตร สูงที่สุดใน อินโดจีน มีแม่น้ำสำคัญคือ แม่น้ำกุง (Cung) ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแดงเป็นดินดอนสามเหลี่ยมที่อุดมสมบูรณ์ (Red River Delta) เหมาะแก่ การเพาะปลูก เนื่องจากเวียดนามมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่หลากหลาย จึงทำให้เวียด นามมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย มีแม่น้ำไหลผ่านหุบเขาและที่ราบมากกว่า 2,800 สาย โดยเป็นแม่น้ำที่มีความยาวมากกว่า 10 กิโลเมตรกว่า 2,300 สาย มีพื้นที่ป่าเขตร้อนมากถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ รวมถึงป่าชายเลนที่มีพื้นที่ประมาณ 200,000 เฮกตาร์ (1.25 ล้านไร่ ) มีรุกขชาติมากกว่า 7,000 ชนิด แบ่งเป็น 239 สายพันธุ์ เป็นแหล่งกำเนิดน้ำมันยางไม้และพืชสมุนไพรมากมาย ที่ราบสูงเหมาะแก่การปลูกพืชเขตหนาว เช่น กาแฟ ใบชา ปอ นอกจากนี้ เวียดนามยังมีสินแร่ที่ค้นพบแล้วมากกว่า 2,000 ชนิด โดยหลายชนิดมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและมีปริมาณมากพอสำหรับการขุดเจาะในเชิง พาณิชย์ เช่น เหล็ก พบมากในจังหวัดท้ายเหวียน (Thai Nguyen) และในบริเวณลุ่มแม่น้ำแดง ถ่านหิน โดยเฉพาะถ่านหินแอนทราไซต์ที่มีคุณภาพดี ให้ความร้อนสูง ใช้ในอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก พบมากในจังหวัด กว๋างนินห์ (Quang Ninh)

แผนที่ อาณาเขต
ทิศเหนือ มีพรมแดนติดกับประเทศ จีนยาว 728 กิโลเมตร ทิศตะวันออก มีพรมแดนติดทะเลจีนใต้ และทิศใต้ติดอ่าวไทย
ทิศตะวันตก มีพรมแดนติดลาวยาว 1,555 กิโลเมตร ทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกัมพูชายาว 982 กิโลเมตร
เมืองหลวง กรุงฮานอย มีพื้นที่ 921 ตารางกิโลเมตรมีประชากร 3.1 ล้านคน ตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง
ภาษาภาษาเวียดนาม และยังนิยมเรียนภาษาต่างประเทศ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน สกุลเงิน สกุลด่อง (Dong)
การปกครอง ระบบพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เขตการปกครอง มี 5 นคร
ได้แก่ ฮานอย, โฮจิมินห์, ไฮฟอง, ดานัง, เกิ่นเธอ และ 59 จังหวัด
สภาพภูมิอากาศ ภูมิอากาศแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู คือ
- ฤดูใบไม้ผลิ ( มีนาคม-เมษายน)มีฝนตกปรอยๆ และความชื้นสูง อุณหภูมิประมาณ 17 ํ C – 23 ํ C
- ฤดูร้อน ( พฤษภาคม-สิงหาคม)อากาศร้อนและมีฝน อุณหภูมิประมาณ 30 ํC- 39 ํ C เดือนที่ร้อนที่สุดคือ มิถุนายน
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน ) อุณหภูมิ 23 ํ C-28 ํC
- ฤดูหนาว ( ธันวาคม – กุมภาพันธ์ ) อากาศจะหนาวเย็นที่สุดในรอบปี คือ ประมาณ 7 ํ C – 20 ํ C แต่ในบางครั้งอุณหภูมิอาจลดลงถึง 0 ํ C เดือนที่หนาวเย็นที่สุดคือ มกราคม
ฤดูที่น่าเดินทางไปท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ทุกฤดู ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาอากาศค่อนข้างเย็นสบายซึ่งอยู่ในระหว่างเดือน ( ธันวาคม – กุมภาพันธ์ )
ประเพณีพื้นเมือง หุ่นกระบอกน้ำ เป็นการแสดงหุ่นกระบอกของเวียดนาม มีการแสดงเฉพาะที่ฮานอย ในโรงละครริมทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม บนถนนดิงห์เตียมฮว่าง หุ่นกระบอกน้ำ ใช้ผู้เชิดอยู่หลังมู่ลี่ไม้ไผ่ที่มีการพรางไว้ ตัวหุ่นเชิดจะอยู่ที่ปลายไม้ที่ยาวพอที่จะยื่นออกมานอกฉากที่ผู้เชิดบังคับ มีกลไกบังคับมือหรืออวัยวะของหุ่นที่ทำจากไม้ฉำฉาที่เบาและพยุงน้ำหนักเมื่อ อยู่ในน้ำ และการเชิดต้องไม่ให้เห็นไม้บังคับหุ่น จึงทำให้ดูเหมือนหุ่นมีลีลาของตนเอง ในประเทศไทยมีการนำมาแสดงบางส่วนที่พัทยา ซึ่งคณะเราจะได้ชมในทริปนี้ด้วยนะคะ
ชุดประจำชาติ ชุดประจำชาติเวียดนาม หรือ ชุด Ao dai นี้ (อ่านว่า อาว หญ่าย) แปลว่า “ชุด ยาว” ซึ่งสำเนียงนี้เป็นสำเนียงของภาคเหนือ ส่วนภาคใต้จะออกเสียงสั้น ๆ ว่า “อ่าว ซ่าย” ซึ่งส่วนมากแล้วในอดีตคนในภาคเหนือของประเทศเวียดนามจะนิยมใส่มากกว่าภาคใต้ นอกจากจะนิยมใช้กันในเมืองใหญ่ ๆ แล้ว ตามชนบทก็เป็นที่นิยมด้วย เนื่องจากเป็นชุดที่ใส่แล้วสบาย เพราะเนื้อผ้า ค่อนข้างละเอียด คนที่ดูมีอายุหน่อยมักจะใส่ชุดอ่าว หญ่ายนี้ โดยเลือกที่จะใส่ชุดสีเข้ม ๆ มีเนื้อผ้าที่มีราคา เช่น ผ้าสีดำ หรือ สีน้ำเงินเข้ม
หมวกเวียดนาม สาวเวียดนาม ที่มีเสน่ห์จากหมวกเช่นเดียวกัน แต่หมวกเหล่านั้นมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนชนชาติอื่นๆ ยังใช้ประโยชน์ได้มากมายอีกด้วย เป็นหมวกใบจาก ที่มีไม่เหมือนใคร เรียกว่า Non la ( น๊อน ล้า)
เมืองสำคัญ
เมืองสำคัญทางภาคเหนือ ได้แก่ ฮานอย (Ha Noi) เมืองหลวง เป็นศูนย์กลางการบริหารประเทศและเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าทางภาคเหนือ ไฮฟอง (Hai Phong) เป็นเมืองท่าสำคัญในภาคเหนือมีท่าเรือสำคัญคือ Hai Phong Port และมีสนามบิน Cat Bi Airport มีอ่าวฮาลองเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมี หินปูน,ถ้ำเสาไม้,เกาะกัดบา,เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่าง ลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง (Voi Islet) เกาะไก่ชน (Ga Choi Islet) เกาะหลังคา (Mai Nha Islet)
องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ ศตวรรษที่ 15 -19 ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้ อย่างมีเอกลักษณ์ และอาคารต่างๆภายในเมืองได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมไว้ได้เป็นอย่าง ดี
ทุกวันนี้ ฮอยอัน ยังคงเป็นเมืองขนาดเล็กเช่นเดิม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ผู้มาเยือนมักมาเยี่ยมชมร้านค้าขายผลงานทาง ศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเปิดเรียงรายอยู่มากมายซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้ บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่มีอยู่มากมาย
ข้อควรทราบก่อนเดินทาง
การเข้า-ออก ประเทศ
สนามบินระหว่างประเทศที่ กรุงฮานอย มีชื่อว่า “นอยไบ” ผู้ถือหนังสือเดินทางไทย ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (ขอ VISA) โดยสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
ศุลกากร
- สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าเวียดนามได้ไม่เกิน 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ นำเข้าบุหรี่ได้ไม่เกิน 200 มวน และแอลกอฮอล์ไม่เกิน 2 ลิตร
- เวียดนาม มีกฎหมายห้ามนำเข้าหนังสือที่มีข้อความต่อต้านรัฐบาล สื่อลามาอนาจาร อาวุธปืน และห้ามนำออกวัตถุโบราณจากเวียดนาม ไม้ท่อน ไม้ซุง ไม้สัก รวมถึงไม้แปรรูปและหวาย สัตว์ป่า สัตว์ และพันธุ์ไม้ที่มีค่าและหายาก
- ห้ามนำเข้า อาวุธ วัตถุระเบิด อุปกรณ์ทางการทหาร ยาเสพติด สารเคมี ประทัด ดอกไม้ไฟ วีดีโอเทป สิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมและเป็นภัยต่อการเมืองและความมั่นคง สื่อลามกอนาจาร
อาหารและน้ำดื่ม
กรุงฮานอยมีตลาดสดหลายแห่ง ซึ่งสามารถหาซื้อเนื้อสัตว์อาหารทะเล ผักและผลไม้สดได้ทุกวันที่คล้ายกับในเมืองไทย มี Supermarket & Mini Mart อยู่หลายแห่ง ซึ่งสามารถซื้อเครื่องกระป๋อง และผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ เครื่องปรุงอาหารไทยส่วนใหญ่สามารถหาได้ในกรุงฮานอย หรือประยุกต์จากผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากประเทศอื่น การบริโภคอาหารและน้ำดื่มต้องระมัดระวัง ควรซื้อน้ำดื่มที่บรรจุเป็นขวดหรือกรองน้ำแล้วต้มก่อนจะบริโภค อาหารประเภทผักผลไม้ต้องล้างให้สะอาดก่อนรับประทานด้วยนะคะ
รู้จักประเทศเวียดนามมากขึ้นแล้ว เชิญเดินทางไปกับเราได้เลยค่ะ !!!
วันแรก ของการเดินทางวันที่ 19 ตุลาคม 2555
กรุงเทพฯ – ฮานอย – ฮาลอง
จุดนัดพบของคณะที่สนามบินสุวรรณภูมิอาคารผู้โดยสาร ชั้น 4 ประตู 8 เคาน์เตอร์ Q
เคาน์เตอร์สายการบิน กาต้าร์แอร์เวย์ (QR) จุดสังเกตของเรา ก็จะมีป้ายต้อนรับคณะ SPiRiT Of The World

ช็อปปิ้งพอหอมปากหอมคอ ระหว่างรอขึ้นเครื่องแล้วค่อยไปช็อปต่อกันที่เวียดนามนะค่ะ
รอขึ้นเครื่องที่ GATE D6 พร้อมแล้วเชิญขึ้นเครื่องได้เลยค่ะเจ้าหน้าที่ของสายการบิน จะประกาศเรียกขึ้นเครื่อง โดยแบ่งเรียกเป็นแถว ถึงคิวแล้วรีบขึ้นเครื่องนั่งตาม SEAT ที่ได้มาตาม BOARDING PASS ได้เลยค่ะ
ที่นั่งบนเครื่อง จะแบ่งเป็นแถวละ 9 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็น 3 ล็อก ล็อกละ 3 ที่นั่งเครื่องบินลำนี้ มี 300 กว่าที่นั่ง เป็นเครื่องลำใหญ่ทีเดียวค่ะและสายการบิน การ์ต้าแอร์เวย์ ก็เป็นสายการบินประจำชาติของประเทศการ์ต้า ในด้านความปลอดภัย หายห่วงได้เลยนะคะ
ถึงสนามบินนอยไบ ของประเทศเวียดนามแล้ว ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง และรับ กระเป๋าสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกมาเจอไกด์ท้องถิ่นเวียดนาม ซึ่งก็คือ คุณป้าถาวร มายืนรอรับคณะเราด้านหน้าแล้ว พาไปรถที่จอดรอคณะ แล้วก็เดินทางต่อกันเลยค่ะ สถานีต่อไป คือเมืองฮาลอง
ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องขอกล่าวยินดีต้อนรับคุณลูกค้าทุก ท่านนะคะ และป้าถาวร ไกด์เวียดนามของเรากำลังกล่าวแนะนำตนเอง ทีมงาน และเล่าประวัติความเป็นมาของเวียดนามให้เราฟังเรื่อยๆ ระหว่างทางไปเมืองฮาลอง ซึ่งมีระยะทางห่างจากเมืองฮานอยประมาณ 170 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
ระหว่างทางแวะร้านรัฐบาล ที่นี่เป็นเหมือน OTOP บ้านเรา แต่ที่เห็นพนักงานที่นั่งปักภาพอยู่นั้น จะเป็นพนักงานที่พิการและสินค้าแต่ละอย่างที่มีผลิตขายอยู่นี้ก็เป็นส่วน หนึ่งของผลงานจากคนพิการด้วย และต้องบอกก่อนนะคะ ที่เวียดนามมีห้องน้ำน้อย ตามปั้มน้ำมันที่นี้ ก็จะเป็นปั้มเล็กๆ ห้องน้ำค่อนข้างน้อย จะไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านเรา
ฉะนั้นจะพาคุณลูกค้าแวะเป็นจุดๆ ที่มีห้องน้ำอำนวยความสะดวกอย่างที่ร้านของรัฐบาลเช่นนี้นะคะ ถือว่าแวะเข้าห้องน้ำ และอุดหนุนสินค้าของรัฐบาลไปด้วย จากนั้นเราก็เดินทางต่อ สู่ฮาลองกันเลยค่ะ ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางจากฮานอย – ฮาลอง ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งนะคะฮาลองก็ค่ำแล้วพาทุกท่านไปรับประทานอาหารกันก่อนเลย และส่วนมากก็จะประกอบไปด้วยอาหารทะเลสดๆ นะค่ะ มาถึงฮาลองทั้งที กินอาหารทะเลให้จุใจไปเลยค่ะ
รับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ไปต่อกันที่ตลาด NIGHT MARKET เมืองฮาลองกันค่ะ ที่นี้ก็จะมีสินค้าพื้นเมือง อาทิเช่น ตุ๊กตาไม้แกะสลัก ชุดอาวใหญ่ หมวกทรงแหลม กระเป๋าผ้าปัก และสินค้าอีกหลายอย่าง ให้คุณลูกค้าได้เลือกซื้อได้เลยค่ะ
หลังจากที่ช็อปปิ้งกันแล้วก็เดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก NEW STAR HALONG เชิญทุกท่านเข้าห้องพัก และพักผ่อนตามอัธยาศัย เก็บแรงไว้เยอะๆ เพื่อวันพรุ่งนี้นะค่ะ เพราะเรามีโปรแกรมล่องเรืออ่าวฮาลองเบย์ ที่ถือเป็นมรดกโลกของเวียดนามที่นึงเลยค่ะ สำหรับวันนี้นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะคะ
บรรยากาศห้องพัก…..หลับสบายแน่นอนค่ะ
วันที่ 2 ของการเดินทางวันที่ 20 ตุลาคม 2555
ฮาลอง – ล่องเรืออ่าวฮาลองเบย์ – ถ้ำสวรรค์ – เกาะไก่จูบกัน – ฮานอย – ลาวกาย
“ซินจ่าว”….ภาษาเวียดนาม แปลว่า สวัสดีนะคะ เช้านี้ที่สดใส ก่อนออกเดินทางไปล่องเรือชมอ่าวฮาลองเบย์
เชิญทุกท่านรับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรมก่อน และเมนูอาหารแนะนำของเช้านี้ จะขอแนะนำให้ทุกท่านลองชิม…”เฝอ”….เป็น อาหารของเวียดนามโดยปรติ ชาวเวียดนามจะรับประทานข้าวกับกับ วันละสามมื้อที่บ้าน แต่ถ้าออกไปนอกบ้านมักจะรับประทานก๋วยเตี๋ยว ชาวเวียดนามมักจะใช้อาหารเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น เมื่อเราเบื่อข้าว (ภรรยาหรือสามี) เราก็จะเลือกก๋วยเตี๋ยว (ชู้รัก) แทนการเปรียบเทียบเช่นนี้บอกความหมายเป็นนัยว่า อาหารธรรมดาๆ ชนิดนี้อาจปรุงให้รสชาติเผ็ดร้อนหรือจัดจ้านได้ หน้าตาก็จะคล้ายๆกับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา โดยจะมีเส้นเหมือนก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก แต่ถ้าเส้นเป็นเส้นขนมจีน จะมีชื่อเรียกอีกอย่างนึงนะคะ ชาวเวียดนามขาจะเรียกว่า…”บุ้น”…ลักษณะของ เฝอ และ บุ้น จะแตกต่างกันแค่เส้น แล้วก็จะมีน้ำซุปราดเหมือนกัน นอกจากนั้นที่ห้องอาหารของโรงแรมก็มีอาหารอีกหลายอย่างให้ทุกท่านได้ทานกัน และอย่าลืมชิมกาแฟของเวียดนามนะคะ ว่ากันว่าคนเวียดนจะกินกาแฟกันเข้มมาก ส่วนท่านใดที่ไม่ชอบทานเข้มๆ เชิญมารับกาแฟ 3 in 1 จากแอนได้เลยนะ เตรียมมาให้เป็นกาแฟ Import จากเมืองไทยเลยค่ะ ส่วนน้องๆ หนูๆ พี่แอนก็เตรียมโอวัลตินมาให้นะคะ
ก่อนออกจากโรงแรมเช็คกระเป๋าสัมภาระ สิ่งของมีค่า ของเรา พร้อมกับเก็บภาพบรรยากาศที่โรงแรมเล็กๆน้อยๆ ก็เชิญทุกท่านขึ้นรถ ไปที่ท่าเรือของอ่าวฮาลองเบย์ กันเลยค่ะ อ่าวฮาลอง หรือที่ได้ยินกันคุ้นหู ที่ส่วยใหญ่นิยมเรียกตามชื่อใน ภาษาอังกฤษว่า Halong Bay เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ย ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน
มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออก 170 กิโลเมตร ชื่อตามการออกเสียงในภาษาเวียดนามเขียนได้ว่า “Vinh Ha Long” หมายถึง “อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง”
เชิญขึ้นเรือได้เลยค่ะ โดยเรือที่เราใช้ล่องนี้เป็นเรือลำใหญ่ มี 2 ชั้น โดยด้านบนสามารถขึ้นไปนั่งชมบรรยากาศได้ค่ะ
ในอ่าวฮาลองมีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสาไม้ หรือชื่อเดิมว่า “กร็อตเดแมร์แวย์” (Grotte des Merveilles) ซึ่งตั้งชื่อโดยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเยี่ยมชมอ่าวเมื่อปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 19 ภายในถ้ำประกอบไปด้วยโพรงกว้าง 3 โพรง มีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกั๊ตบ่าและเกาะต่วนเจิว ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร บนเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่น ๆ บางเกาะก็มีชายหาดที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง (Voi Islet) เกาะไก่ชน (Ga Choi Islet) เกาะหลังคา (Mai Nha Islet) เป็นต้น นำท่านชม เกาะไก่จูบกัน และเก็บภาพเป็นที่ระลึกได้เลยค่ะ
บรรยากาศอ่าวฮาลองเบย์ ขณะล่องเรือ สวยมากเลยค่ะ
ตามตำนานพื้นบ้านได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตนานมาแล้ว ระหว่างที่ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้กับกองทัพชาวจีนผู้รุกราน เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม มังกรเหล่านี้ได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลบริเวณที่เป็นอ่าวฮาลองในปัจจุบัน ทำให้มีอัญมณีและหยกพุ่งกระเด็นออกมามากมาย อัญมณีเหล่านี้กลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอ่าว เป็นเกราะป้องกันผู้รุกราน ทำให้ชาวเวียดนามปกป้องแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จและก่อตั้งประเทศซึ่งต่อมา ก็คือเวียดนามในปัจจุบัน บางตำนานสมัยใหม่ก็กล่าวไว้ว่า ปัจจุบันยังมีสัตว์ในตำนานที่ชื่อว่า Tarasque อาศัยอยู่ที่ก้นอ่าว
ซึ่งจัดว่าเป็นเขตภูมิประเทศที่สวยงามที่สุดในเวียดนามและได้รับการคัด เลือกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2537 ความงามแบบสันโดษของอ่าวนี้กินเนื้อที่ 4,000 ตารางกิโลเมตร เรือสำเภาและสำปั้นที่ล่องไปช้า ๆ บนท้องน้ำในอ่าวแห่งนี้ช่วงเพิ่มความงดงามให้ฉากธรรมชาตินี้มากขึ้น ซึ่งประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 1,900 เกาะ ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก นำท่านชม ถ้ำนางฟ้าหรือถ้ำสวรรค์ ชม หินงอกหินย้อยมากมายล้วนแต่สวยงามและน่าประทับใจยิ่งนัก ถ้ำแห่งนี้เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการประดับแสงสีตามผนังและมุมต่างๆ ในถ้ำ ซึ่งบรรยากาศภายในถ้ำท่านจะชมความสวยงามตามธรรมชาติที่เสริมเติมแต่งโดย มนุษย์ แสงสีที่ลงตัวทำให้เกิดจินตนาการรูปร่างต่าง ๆ มากมาย ทั้ง รูปมังกร เสาค้ำฟ้า พระพุทธรูป ศิวลึงค์
เข้าไปภายในถ้ำแล้วอากาศจะเย็นกว่าข้างนอกจนรู้สึกได้เลยค่ะ เหมือนกับเดินท่ามกลางสรวงสวรรค์เลยทีเดียว จากนั้นเราก็มาล่องเรือกินบรรยากาศธรรมชาติ ที่ได้สรรค์สร้างมาอย่างลงตัว และก็ไม่ลืมเก็บภาพบรรยากาศด้วยค่ะ
อาหารกลางวันมื้อของวันนี้ เราทานกันบนเรือ พิเศษด้วยอาหารซีฟู๊ต ได้ทั้งบรรยากาศ และทานอาหารไปด้วย
รับรองว่าอร่อยแน่นอนค่ะ
หลังอาหารกลางวันบนเรือแล้ว นำทุกท่านขึ้นฝั่ง และเดินทางไปยังฮานอย ซึ่งมีระยะทางห่างจากเมือง ฮาลองประมาณ 170 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นเส้นทางเดิมตอนที่เราเดินทาง มาเมื่อวานค่ะ
พอเริ่มเข้าตัวฮานอย รถลาก็เริ่มเยอะขึ้นผิดหูผิดตากับที่เราอยู่ฮาลองเลยนะค่ะ โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ โปรแกรมต่อไปของคณะเราก็คือ ไป ชมโชว์หุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเวียดนาม ซึ่งมีชาติเดียวในโลกที่มีโชว์นี้
ต้นกำเนิดของหุ่นกระบอกน้ำ กล่าวคือ บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำซงโห่ง แม่น้ำแดง เป็นบริเวณที่ราบลุ่มต่ำซึ่งอาจจะจมอยู่ใต้น้ำในฤดูฝน หากไม่มีฝากั้นน้ำที่เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ยาวถึง 7,000 กิโลเมตร สร้างตัดไปตามผืนนาและหมู่บ้าน ฝายกั้นน้ำนี้เดิมสร้างขึ้นจากดินเมื่อ 1,000 ปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้นสมัยราชวงศ์หลีในศตวรรษที่ 11 แม่น้ำแดงจะเอ่อล้นฝั่งขึ้นมาท่วมภูมิภาคนี้อยู่เสมอทุกปี การที่น้ำท่วมเป็นประจำได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดรูปแบบความบันเทิงชนิด ที่หาได้ในเวียดนามเท่านั้น คือหุ่นกระบอกน้ำนั่นเอง ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของคณะหุ่นกระบอกน้ำชั้นนำของฮานอยได้อธิบายว่า ”ชาวไร่ชาวนาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีในช่วงน้ำท่วม จึงพากันคิดค้นศิลปะรูปแบบนี้ขึ้นมา” หุ่นกระบอกน้ำเป็นการผสมผสานระหว่างความหลงใหลในเทพตำนานกับความรักชาติ อย่างรุนแรงซึ่งปลูกฝังกันมาในจิตใจชาวเวียดนาม
นักเชิดหุ่นกระบอกจะยืนอยู่หลังฉากในน้ำที่ท่วมถึงเอวแล้วควบคุมการ เคลื่อนไหวของหุ่นด้วยไม้ไผ่ลำยาว หลายศตวรรษที่ผ่านมาทุกหมู่บ้านจะมีคณะละครแสดงในสระน้ำหน้า ดิงห์ หรือ ศาลาประชาคม เทคนิคการเล่นได้ถูกเก็บงำเป็นความลับอย่างมิดชิด แม้ปัจจุบันนี้นักเชิดหุ่นอาวุโสทั้งหลายยังไม่ใคร่ยอมถ่ายทอดวิชาให้คนรุ่น หลัง แต่ด้วยเกรงว่าวิชาจะดับสูญ บางท่านจึงยอมสอน ทุกวันนี้มีคณะหุ่นเหลืออยู่ไม่มากนักในเวียดนาม หลังจากชมโชว์แล้วก็เย็นพอดี หลายท่านก็หิวแล้ว งั้นเราไปร้านอาหารกันเลยค่ะ
บรรยากาศร้านอาหาร รสชาติอาหารของเวียดนามจะไม่จัดจ้านเหมือนบ้านเรา ชาวเวียดนามค่อนข้างชอบรสจืด แต่เนื่องจากว่าได้มีนักท่องเที่ยวชาวไทย เดินทางไปเที่ยวเวียดนามจำนวนมาก ร้านอาหารแต่ละที่ก็ได้พัฒนารสชาติอาหารมาเรื่อยๆ เพื่อรองรับกับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นด้วย จนรสชาติอาหารใกล้เคียงกับบ้านเราแล้ว แต่เมื่อมาถึงเวียดนามทั้งทีก็ต้องลองชิมอาหารพื้นเมืองของเวียดนามด้วยนะ ค่ะ เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นมาไม่ถึงเวียดนาม และขณะที่รับประทานอาหาร ทางได้ก็ได้จัดให้มีนักร้องและนักดนตรีชาวเวียดนามมาบรรเลงเพลงเวียดนาม และเพลงไทยให้ฟังด้วยนะค่ะ
ทานอาหารเสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปขึ้นรถไฟกันเลยค่ะ เพราะจุดมุ่งหมายต่อไปของเราคือ ซาปา แต่ก่อนที่จะถึงซาปา เราต้องผ่านเมืองลาวกาย ก่อนนะค่ะ เพราะสถานีรถไฟจากฮานอย จะวิ่งไปถึงเมืองลาวกายเท่านั้น แล้วก็ต่อรถจากลาวกายไปซาปา อีก 35 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเส้นทางนี้ต้องขึ้นเขาด้วยนะค่ะ
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมเลือกใช้บริการ รถไฟตู้นอน ในการเดินทางไปลาวกาย แทนที่จะนั่งรถประจำทาง เพราะใช้เวลาในการเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง บนรถไฟจะแบ่งเป็นห้องๆ โดยแต่ละห้องจะมีเตียงนอน 4 เตียง แบ่งเป็นฝั่งละ 2 เตียง มีชั้นบนและชั่นล่าง และรถไฟจะออกตรงเวลามาก ฉะนั้นเมื่อึถงเวลารถไฟออกทุกท่านห้ามลงจากรถไฟนะค่ะ เด่ยวขึ้นไม่ทัน คืนนี้ค้างคืนกันบนรถไฟ สำหรับคืนนี้ก็ต้องขอกล่าวคำว่า…”จุ๊บ หงู งอน”….เป็นภาษาเวียดนามแปลว่า ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
วันที่ 3 ของการเดินทางวันที่ 21 ตุลาคม 2555
ลาวกาย – ซาปา – หมู่บ้านชาวเขากั๊ตกั๊ต – โบสถ์คริสซาปา – หุบเขาปากมังกร – ตลาดซาปา
เดินทางถึงเมืองลาวกายตั้งแต่เช้าตรู่ ก็เดินทางไปซาปาต่อกันเลยค่ะ ระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนะค่ะ เส้นทางจะขึ้นเขา ท่านใดที่เมารถ มารับยาแก้เมารถที่แอนได้นะคะ… เมื่อถึงซาปาแล้วคณะเราเข้า Check in ที่โรงแรมกันก่อน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และทานอาหารเช้าที่โรงแรมกันก่อนค่ะ
เข้าโรงแรม HOLIDAY SAPA HOTLE บรรยากาศดีมาก อากาศที่ซาปาจะเย็นกว่าที่ฮานอยเยอะเลยค่ะ ที่ได้ยินมาว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวนั้น มาสัมผัสกันได้ที่เมืองซาปาแหล่งนี้ ยิ่งเมื่อรถพาสู่ตัวเมืองซาปา แล้วก็แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่เป็นยุโรป หรือ เอเชียกันแน่ เมืองเล็กๆที่มีความสงบเงียบ ล้อมรอบด้วยขุนเขา ในท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น น่ามาเยือนมากเลยนะค่ะ
เชิญทุกท่านรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมกันได้เลยค่ะ

ซาปา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในจังหวัดลาวกาย ใกล้กับชายแดนจีน ตั้งอยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,650 เมตร จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ทำให้เพาะปลูกผักผลไม้ได้ดี ปัจจุบันซาปามีประชากรอาศัยอยู่ราว 37,000 คน นับเป็นดินแดนแห่งดอยที่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์มากที่สุดในประเทศ เวียดนาม เมืองเล็กๆ แห่งนี้เริ่มต้นเป็นเมืองแห่งการพักผ่อน เมื่อฝรั่งเศสซึ่งปกครองเวียดนามอยู่ในขณะนั้นได้มาสร้างสถานีภูเขาขึ้นในปี พ.ศ.2465 จากนั้นจึงเริ่มมีชาวต่างชาติซึ่งอยู่ในฮานอย มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดเป็นประจำ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ จนเมื่อนักท่องเที่ยวได้ข่าวและมาเห็นถึงบรรยากาศจริงๆ เหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลกก็ได้รับข่าวสารเหล่านี้เช่นกัน นั่นจึงทำให้ปัจจุบันที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่สำคัญนอกจากบรรยากาศแล้ว บรรดาชาวเขาที่อยู่บริเวณนี้ก็น่าสนใจไปเยี่ยมชมมากเช่นกัน และนาขั้นบันไดที่มากมายท่ามกลางลาดไหล่เขาที่ทอดตัวอย่างมีเสน่ห์ พร้อมกันแล้วออกออกเดินทางกันเลยค่ะ…เก็บภาพสักหน่อยก่อนไปชมหมู่บ้านชาวเขา
เมื่อมาถึงซาปา จะรู้ได้ว่ามาถึงแล้วสังเกตุจากกลุ่มกระท่อมชนเผ่าเย้าริมทางใกล้ถึงหมู่ บ้านบิงห์ลือ และตลอดเส้นทางก็จะเห็นชาวเขาเผ่าต่างๆ หลากหลายเผ่า บ้างก้อเดินเอาของมาขาย บ้างก็นั่งขายตามทางกันหนาตา
บรรยากาศข้างทางระหว่างนั่งรถไปหมู่บ้านชาวเขากั๊ตกั๊ตค่ะ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมที่พักของเราเท่าไหร่

หมู่บ้านชาวเขากั๊ตกั๊ต (Cat Cat ) หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งเก่าแก่ของ เมืองซาปาเดินเท้าเข้าชมทิวทัศน์อันสวยงาม ชมไร่นาขั้นบันไดของชาวเขา และเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมของชาวเขาภายในหมู่บ้าน ชมน้ำตกกั๊ตกั๊ต อีกหนึ่งความสวยงามตามธรรมชาติของซาปา เป็นน้ำตกเล็กๆในหมู่บ้าน จะเห็นได้ว่าหมู่บ้านนี้มีธรรมชาติที่สวยงามมาก และยังคงความอุดมสมบูรณ์มาก ชาวเขาส่วน
ใหญ่จะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวได้ ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ จนถึงคุณป้า คุณยาย พูดภาษาอังกฤษตอบโต้กับนักท่องเที่ยวได้สบาย ไม่ว่าจะขายสินค้าพื้นเมือง ของที่ระลึก หรือแม้จะต่อรองราคาสินค้า
เก็บภาพเป็นที่ระลึกกับบรรยากาศธรรมชาติ แสนอบอุ่น อากาศดีมาก แต่ช่วงกลางวัน อากาศก็ค่อนข้างร้อน แต่ช่วงเช้าและค่ำ อากาศก็เย็นสบายค่ะ ชมการแสดงของชาวเขา ที่เห็นอยู่นี้เป็นชาวเขา
เผ่าม้งดำ โดยสังเกตจากหมวกนะค่ะ การแต่งตัวจะคล้ายๆกัน แต่ละเผ่าจะมีจุด แตกต่างกันที่หมวก หรือบางเผ่าก็อาจมีชุดที่แตกต่างกันออกไป
การแสดงประเพณีการละเล่นของชาวเขา เผ่าม้งดำค่ะ ที่โรงละคร ณ หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวเผ่าม้ง ที่อพยพมาจากประเทศจีน มีเครื่องแต่งกายที่นิยมโทนสีน้ำเงินเข้มหรือดำ หลังจากจบการแสดงก็เดินรอบหมู่บ้าน ระยะทางเดินชมหมู่บ้านตั้งแต่ทางเข้า เดินจนรอบถึงทางออก ระยะทางค่อนข้างไกล แต่ก็เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติที่สวยงาม อากาศที่สดชื่น ทำให้คณะเราลืมเหนื่อยไปเลยค่ะ
เดินมาจนรอบแล้วก่อนถึงลานจอดรถ มีร้านขายเครื่องดื่ม กาแฟ ของหมู่บ้านเปิดบริการ ให้นักท่องเที่ยวได้แวะพักเพิ่มพลังก่อนไปต่อ ท่ามกลางบรรยากาศที่เหมือนโดนโอบกอดด้วยธรรมชาติมากมาย ชมวิวภูเขาที่เรียงลาย กว้างใหญ่มองไปสุดลูกหูลูกตา ขอรับรองถ้าท่านใดที่ได้มาเยือนซาปา เมืองแห่งสายหมอก แสนโรแมนติกที่แล้ว คุณต้องหลงรักและอยากกลับมาเยือนเมืองแห่งอีกอีกครั้งแน่นอนค่ะ
หลังจากชมหมู่บ้านชาวเขาแล้ว นำทุกท่านมารับประทานอาหาร ณ ร้าน Cha Pa Restaurant ซึ่งเป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่ตกแต่งบรรยากาศราวกับอยู่ทางยุโรป และก็ได้มีลูกค้าต่างชาติทางยุโรปมาใช้บริการร้านนี้เยอะมากค่ะ เพราะตอนที่คณะเราเข้ามาทาน ที่นั่งของร้านเกือบเต็มทุกโต๊ะเลยนะค่ะ
ไม่ใช่แค่บรรยากาศร้านสวย น่านั่งเท่านั้นนะค่ะ รสชาติอาหาร ก็อร่อยมากเลยค่ะ ดูจากรูปแล้วน่ากิน มากเลยใช่ไหมค่ะ ก็ต้องขอบอกเลยว่า…”งอน หลำ”… เป็นภาษาเวียดนาม ที่แปลว่า อร่อยมากค่ะ เมื่อทาน อาหารกลางวันเสร็จแล้ว เชิญทุกท่านพักผ่อนที่โรงแรม กันก่อนนะคะ เพื่อเก็บแรงไว้เที่ยวที่ต่อไป สัก 1-2 ชั่วโมง ซึ่งโรงแรมของเราก็อยู่ไม่ห่างจากร้านอาหารกลางวันมากนัก ประมาณ 500 เมตรเองค่ะ ฉะนั้นเรามาเดินออกกำลังกายกลับโรงแรมกัน ซ้อมไว้นะค่ะ เพราะที่ต่อไปเราจะไปเดินเขา ที่ยอดเขาเมืองซาปากันค่ะ
ได้พักผ่อนกันเต็มที่แล้ว ก็ได้เวลาไปเดินสู่ยอดเขาซาปาแล้วค่ะ จากโรงแรมไปสู่ทางขึ้นเขาระยะทางไม่ไกลมากนัก ป้าถาวรไกด์ท้องถิ่นของเราจึงพาคณะเราเดินจากโรงแรมสู่ทางขึ้นเขา ก่อนถึงทางขึ้นเขาเราจะผ่านชมตลาดเมืองซาปา และโบสถ์คริสต์ ที่ฝรั่งเศสเคยมาปลูกสร้างไว้ในช่วงที่ปกครองเวียดนาม เมื่อราวร้อยปีมาแล้ว ขณะเดียวกันก็สร้างโบสถ์คริสต์ไว้ในเมือง จนปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซาปาไปแล้ว ใครไปใครมาก็ต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
จากนั้นก็มาลุยกันเลยค่ะ จากทางขึ้น จนถึงยอดเขาระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เมื่อขึ้นไปถึงจุดชมวิวแล้ว ย้อนกลับลงมาอีก 1 กิโลเมตร ดูจากแผนที่ด้านหน้าได้เลยค่ะ เมื่อพร้อมแล้วขึ้นเขากันเลยค่ะ
ทางขึ้นในช่วงแรกไม่ค่อยชันเท่าไหร่ เรียกเขาแห่งนี้ว่า หุบเขาปากมังกร Ham Rong Mountain ซึ่งท่านจะได้ชมทะเลหมอกที่ปกคลุมทั่วเมืองซาปา ชมดอกไม้เมืองหนาวนานาพรรณอันสวยงาม ภูเขาเล็กๆ ที่ตั้งเด่นเป็นสง่า อยู่กลางเมืองซาปา มีความสูงประมาณ 150 เมตร ท่านจะต้องเดินเท้าขึ้นไปเที่ยวบนภูเขาลูกนี้บนภูเขาลูกนี้เป็นแหล่งศึกษาหา ความรู้ทางธรรมชาติวิทยาเพราะมีพืชพันธุ์ไม้นานาชนิดที่หายากตลอดจนไม้ดอก เมืองหนาวนานาพันธุ์สวยสดงดงามมากในช่วงฤดูหนาว จากนั้นจึงเดินเท้าต่อขึ้นไปยังจุดชมวิวสูงสุดของภูเขาลูกนี้ซึ่งทำเป็น บันไดสลับกับทางเดินเท้าพื้นราบผ่านสวนหินธรรมชาติรูปร่างแปลกตาซึ่งมีอายุ นับพันปีสำหรับทางขึ้นจุดชมวิวนั้นวกไปเวียน มาคล้ายเดินอยู่ในเขาวงกต จนถึงบนจุดชมวิวเพื่อถ่ายภาพภาพของเมืองซาปาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องล่าง ห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขาหว่างเหลี่ยนเซิ่นและเมื่อมองไปไกล ก็จะเห็นยอดเขาฟานซีปัน ความสูง 3,148 เมตร สูงกว่าภูเขาลูกใดๆในอินโดจีน สายหมอกเริ่มเคลื่อนตัวไปมาอย่างช้าๆ เมฆหมอกบดบังแสงอาทิตย์สภาพปรับเปลี่ยนไปมาทุกๆ ห้านาที หลังคาสีแดงของวิลล่าคลาสสิคสไตล์โคโลเนียลแบบฝรั่งเศส สลับกับสีสันของบรรดาบ้านเรือนผู้คน โบสถ์คริสต์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องล่างถนนหนทางและทะเลสาปที่ตั้งอยู่ใจ กลางเมืองซาปาช่างเป็นภาพที่สวยงามคุ้มค่าจากการที่ท่านได้มาชม
ทางขึ้นเขาก็จะชันขึ้นเรื่อยๆนะค่ะ แต่ก็ไม่ลำบากจนเกินไปในการเดิน ระหว่างทางก็จะมีช่องของหินแคบๆระหว่างทางเดินด้วย ต้องระมัดระวังนิดนึงนะคะ เดี๋ยวขาไปโดนแล้วพกช้ำค่ะ ส่วนท่านไหนที่เดินขึ้นเขาไม่ไหว ก็สามารถรอที่สวนดอกไม้ได้นะค่ะ จุดนั้นถือว่าครึ่งทางพอดี ส่วนท่านไหนที่ยังไหวก็เดินตามป้าถาวรขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาได้เลยค่ะ
พร้อมกับชมวิวของเมืองซาปาในมุมที่สามารถมอง เห็นเมืองกลางสายหมอกเมืองนี้ได้แทบทั้งเมือง รับรองท่านใดที่ขึ้นมาได้เห็นภาพมุมสูง ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ แล้วอย่าลืมเก็บภาพกันไว้ด้วยนะค่ะ อากาศกำลังดี อากาศเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาว ภาพมวลเมฆบางๆ กำลังเคลื่อนผ่าน คลายกับว่าเรากำลังยืนท่ามกลางหมู่เมฆเหล่านั้น
ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดโรแมนติกแล้ว เดินลงทางเดิมนะค่ะ แต่ต้องระวังกันหน่อยเพราะว่าพระอาทิตย์เริ่มตกแล้ว ต้องเดินระวังกันด้วยนะคะ หลังจากที่เดินลงเขาก็ตกเย็นพอดี ไปทานอาหารเย็นกันเลยค่ะ ร้านอาหารก็อยู่ไม่ห่างจากโรงแรมที่พัก เราก็ถือโอกาสนี้เดินชมเมืองในช่วงเวลาค่ำด้วยค่ะ
อิ่มอร่อยกันแล้วเชิญทุกท่านพักผ่อนตาม อัธยาศัย ท่านใดอยากเดินชมเมือง ซื้อของฝาก ตามอัธยาศัยได้เลยค่ะ แต่ตอนนี้หัวค่ำแล้ว จะไม่มีชาวเขาให้เห็นมากนัก เพราะชาวเขาแต่ละเผ่าก็จะทยอยกลับบ้านตั้งแต่ตอนเย็น แล้วพรุ่งนี้เช้าก็จะเห็นภาพที่คุ้นตา มีชาวเขาสะพายของพื้นเมือง ที่ระลึกมาเสนอขายให้นักท่องเที่ยว ส่วนวันนี้ก็เชิญทุกท่านพักผ่อน เอาแรงเพื่อวันพรุ่งนี้ไปชมความงานของเมืองกลางสายหมอกเมืองนี้กันต่อนะ ค่ะ…..ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
วันที่ 4 ของการเดินทางวันที่ 22 ตุลาคม 2555
น้ำตกซิลเวอร์ – หมู่บ้านชาวเขาตาวัน – ซาปา – ตลาดชายแดน – ลาวกาย – ฮานอย
อรุณสวัสดิ์ยามเช้าที่สดใสนะค่ะ เชิญทุกท่านทานอาหารเช้า ก่อนการออกเดินทางตามโปรแกรมของวันนี้นะค่ะ เมื่ออิ่มท้องกันแล้วก็เรียนเชิญทุกท่านขึ้นรถ เพื่อไปชมน้ำตกซิลเวอร์กันเลยค่ะ
ทางไปน้ำตกเป็นทางที่ต้องขึ้นเขาสูงไปอีก จะสัมผัสได้ว่า ยิ่งขึ้นเขาสูงไปเท่าไหร่ อากาศก็จะเย็นขึ้นเรื่อยๆ และช่วงนี้เริ่มจะเข้าหน้าหนาว ที่น้ำตกน้ำจึงมีไม่มากนัก มีความสูงประมาณ 100 เมตร มีหลาย ระดับชั้น สายน้ำไหลลัดเลาะตามหน้าผาลงมา ท่านสามารถเดินชมความสวยงามของน้ำตกตามชั้นต่างๆ เพื่อเก็บภาพความประทับใจ พร้อมภาพที่ระลึกบริเวณสะพานชมวิว หรือท่านใดเดินขึ้นไม่ไหว ก็นั่งพักตามศาลา ที่อยู่ตามชั้นต่างๆ ได้
ชมบรรยากาศด้านล่างก็สวยไปอีกแบบค่ะ
หลังจากที่เก็บภาพบรรยากาศ และพักเหนื่อยจากการเดินขึ้นไปชมน้ำตกกันแล้ว นำทุกท่านกลับเข้าโรงแรม เพื่อเก็บของสัมภาระ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและ Check Out ออกจากโรงแรม และไปทานอาหารกลางวัน ก่อนอำลาเมืองซาปา สุดโรแมนติกท่านกลางสายหมอกแห่งนี้ ระหว่างทางกลับโรงแรม เชิญเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันได้เลยค่ะ
หลังจาก Check Out แล้วนำทุกท่านไปทานอาหารกลางวันมื้อสุดท้ายสำหรับเมืองซาปาแห่งนี้ บรรยากาศร้านน่ารักเป็นที่ชื่นชอบของทุกท่านเป็นอย่างมาก ประกอบด้วยรสชาติอาหารที่อร่อย ทำให้ประทับใจไม่น้อยกว่าบรรยากาศร้านค่ะ
หลังอาหารกลางวันโปรแกรมต่อไปของเราคือเดินทางสู่ลาวกาย ใช้เวลาในการเดินทางโดยประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางนั้น แวะเยี่ยม
หมู่บ้านชาวเขาอีกสักที่หนึ่งก่อนกลับนะค่ะ ก่อนขึ้นรถพอมีเวลาเหลือ จึงนำท่านไปร้านกาแฟ ที่ว่ากันว่ามีกาแฟ และขนมเค้ก ที่อร่อยที่สุดในซาปา ว่ากันว่าถ้าได้มาเมืองนี้แล้วไม่ได้มาทานกาแฟและขนมเค้กที่ว่า ก็เหมือนมาไม่ถึง จึงทำให้คณะเราจะพลาดไม่ได้เหมือนกันนะค่ะ
ได้จิบกาแฟร้านอร่อยที่สุดแล้ว ก็ต้องโบกมืออำลาเมืองสวยงามแห่งนี้แล้ว เราก็เดินทางมุ่งสู่ลาวกายกันเลยค่ะ
ระหว่าทางคณะเราแวะเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวเขาตาวันกันก่อนนะค่ะ ชาวเขานี้เป็นเผ่าเหย้าแดง ซึ่งสามารถสังเกตุจากหมวกที่ใส่อยู่นะคะ เมื่อลงจากรถก็จะมีชาวเขามารุมต้อนรับกันอย่างเนืองแน่นเลยทีเดียวค่ะ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมนะค่ะ เป็นเพราะว่าชาวเขาอยากจะเอาสินค้าพื้นเมืองที่ทำเองมาเสนอขายแก่นักท่อง เที่ยวที่มาเยี่ยมหมู่บ้านของพวกเขากันค่ะ เรามาชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขากันนะค่ะ
หมู่บ้านตาวัน อยู่ทางทิศใต้ของเมืองซาปาประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านของชาวเขาหลายเผ่ามาอยู่รวมกัน แต่จะมีประชากรของเผ่า Giay ซึ่งถือเป็นชนเผ่าที่มีประชากรค่อนข้างเยอะในเวียดนาม ซึ่งในความหลากหลายของคนพื้นเมืองทำให้เห็นความแตกต่างของการแต่งกาย ซึ่งแต่ละเผ่าก็จะแตกต่างกันออกไปและยังมีภาษาพูดเฉพาะอีกด้วย การเข้ามาชมหมู่บ้านแห่งนี้เพื่อชมวิถีชีวิตของชาวเขา และสัมผัสทัศนียภาพของนาขั้นบันได ซึ่งมีเทือกเขาฟานสีปันเป็นฉากหลัง มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ คณะของเราใช้เวลาเดินชมในหมู่บ้านโดยประมาณ 40 นาที เป็นหมู่บ้านเล็กๆ และเป็นหมู่บ้านที่น่าอิจฉาอีกที่หนึ่งนะค่ะ ถึงหมู่บ้านชาวเขาแห่งนี้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ไม่มีแสงสีเหมือนในตัวเมือง แต่ที่แห่งนี้มีภูเขาล้อมรอบ ดั่งกับว่าโดนโอบกอด และปกป้องด้วยธรรมชาติที่สวยงาม อากาศแสนบริสุทธิ์ หลังจากที่เราเยี่ยมชมเป็นเวลาพอสมควร ก็เดินทางต่อไปลาวกายกันเลยค่ะ โดยระหว่างทางก็จะมองเห็นนาข้าวแบบขั้นบันใดที่หลดหลั่น เหลืองอร่ามจนอยากลงไปเดินเล่นเก็บภาพตลอดทาง และแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกในมุมที่สวยๆ หลายจุดเลยค่ะ จนมีลูกค้าในคณะท่านหนึ่งบอกกับแอนว่า “คุ้มกับค่าทัวร์ที่มาเที่ยวในครั้งนี้แล้ว ที่เหลือก็ถือเป็นกำไรที่ได้แล้ว” ได้ยินอย่างนี้แล้วก็ทำให้มีแรงให้บริการกับลูกค้าทุกท่านมากขึ้นมาทันทีเลย ค่ะ ถ้าเปรียบความสวยงามของซาปา กับความสวยของหญิงสาว ก็บอกได้เลยว่า ”แดบ หลำ” เป็นภาษาเวียดนาม แปลว่า สวยมากค่ะ
ใช้เวลาไม่นานนักจากหมู่บ้านตาวัน มาถึงลาวกายนะค่ะ พอมาถึงลาวกายแล้วพาทุกท่านไปช็อปที่ตลาด Coc Leu ซึ่งเป็นตลาดที่อยู่ติดชายแดน ระหว่างเวียดนามและจีน ที่นี่จะมีสินค้าทั้งของเวียดนามและของจีนให้ท่านได้เลือกซื้อ อาทิเช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ของเล่นเด็ก และอีกหลายอย่างให้ท่านเลือก ด้านหน้าก็จะมีผลไม้ ของสด ขายอยู่ด้วย ท่านใดที่อยากได้ของฝาก หรืออยากลองชิมผลไม้ของที่นี่ก็เชิญได้เลยค่ะ
ช็อปปิ้งกันเรียบร้อยแล้วนะค่ะจะนำทุกท่านไป ชมชายแดนเวียดนาม-จีน ซึ่งจังหวัดลาวกาย เป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของเวียดนาม และยู่ติดจากเขตจีน สินค้าส่วนมากที่ลาวกาย ก็จะเป็นสิน้าที่ผลิตจากจีนนะค่ะ ดูจากรูปด้านล่าง จะเห็นได้ว่าถ้าเราข้ามสะพานไปก็จะเป็นเขตของจีนแล้วค่ะ มองข้ามฝั่งไปก็จะเห็นตึกรามบ้านช่อง รูปทรงก็ไม่แตกต่างกันมาก เนื่องจากเวียดนามได้รับอิทธิพลจากจีนมาค่ะ
หลังจากนั้นขอเชิญทุกท่านไปรับประทางอาหารเย็นที่โรงแรม ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ ที่จะต้องขึ้นรถไฟกลับไปที่ฮานอยค่ะ
ระหว่างนี้ป้าถาวร ไกด์เวียดนามของเรา ก็ไปทำการ Check In ให้คณะเราแล้วนะค่ะ เนื่องจากว่ารถไฟตู้นอน เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และชาวเวียดนามเอง ที่ใช้ในการเดินทาง เพราะสะดวกสบายกว่าการที่นั่งรถทัวร์มา ตั๋วรถไฟแต่ละเที่ยว จึงจะเต็มแทบทุกเที่ยวเลยนะค่ะ
ทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ก็นำท่านข้ามถนน ตรงข้ามกับโรงแรม มายังสถานีรถไฟ อย่างเช่นเคยเหมือนขามา รถไฟจะออกตรงเวลามาก ฉะนั้นเมื่อใกล้เวลา อย่าลงจากรถไฟนะค่ะ เดี๋ยวตกรถไฟนะค่ะ คืนนี้คณะเราก็ค้างคืนบนรถไฟเช่นขามา เชิญทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย และอำลาเมืองลาวกายแห่งนี้ ถ้าเป็นบ้านเราก็เปรียบได้กับจังหวัดเชียงราย ที่เป็นเหนือสุดแดนสยาม เมืองลาวกายแห่งนี้ ก็ถือว่าเป็น เหนือสุดแดนเวียดนามค่ะ คืนนี้หลับฝันดี…ราตรีสวัสดิ์น่ะค่ะ
วันที่ 5 ของการเดินทางวันที่ 23 ตุลาคม 2555
ลาวกาย – ฮานอย – จัตุรัสบาดิงห์ – สุสานโฮจิมินห์ – ทำเนียบประธานาธิบดี – บ้านพักโฮจิมินห์ – เจดีย์เสาเดียว – ทะเลสาบคืนดาบ – วัดหง็อกเซิน – ถนน 36 สาย – บุฟเฟ่ห์อาหารนานาชาติ SEN – กรุงเทพฯ

อรุณสวัสดิ์ยามเช้าค่ะ…และ ซินจ่าว…ฮานอยนะค่ะ รถไฟตู้นอนได้มาถึงจุดมุ่งหมายที่ฮานอยตั้งแต่เช้ามืดนะค่ะ พอลงรถไฟแล้วก็นำท่านเข้าโรงแรม ที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟเลยค่ะ เพื่อให้ทุกท่านอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า พักผ่อนตามอัธยาศัย และทานอาหารเช้าที่โรงแรมก่อนที่จะเที่ยวชมเมืองฮานอย
และให้ทุกท่านแพ็คกระเป๋า ท่านใดที่ซื้อของฝาก ของที่ระลึกก็จัดการ
แพ็คให้เรียบร้อยน่ะค่ะ เพราะวันนี้หลังจากที่เที่ยวชมเมืองฮานอยแล้ว
ช่วงเย็นคณะเราก็เดินทางไปขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพแล้วนะค่ะ
รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว นำทุกท่านออกเดินทาง
ไปยังตัวเมืองฮานอยกันเลยค่ะ
นำท่านไปสู่จัตุรัสบาดิงห์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่านโฮจิมินห์ได้อ่านคำประกาศอิสรภาพของเวียดนามพ้นจาก ฝรั่งเศส ในปี 1945 ชมสุสานโฮจิมินห์ สุสานของประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนามที่สร้างเมื่อปี ค.ศ.1973 -1975 อาคารสร้างด้วยหินอ่อนและหินแกรนิต และสิ่งมีค่าที่ประชาชนที่ศรัทธาส่งมาจากทั่วประเทศ ภายในบรรจุศพอาบน้ำยาของท่านโฮจิมินห์ นอนสงบอยู่ในโลงแก้วในห้องปรับอากาศ ด้านหลังสุสานเป็นสวนสาธารณะอันสงบและร่มรื่น โฮจิมินห์ หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า บั๊กโฮ ซึ่งแปลว่า ลุงโฮ นั้นถือเป็นรัฐบุรุษอันดับหนึ่งของชาวเวียดนามตลอดกาล เพราะท่านโฮจิมินห์ เป็นแกนนำสำคัญในการปลดแอกเวียดนามจากการยึดครองของฝรั่งเศส และในเวลาต่อมาก็ยังเป็นผู้ที่สามารถรวมเวียดนามเหนือ-ใต้ ให้กลายเป็นประเทศเวียดนามเพียงหนึ่งเดียวโดยสมบูรณ์ในสงครามเวียดนามอีก ด้วย ท่านโฮจิมินห์ เสียชีวิตในวันที่ 2 กันยายน 1969 ซึ่งตรงกับวันชาติเวียดนามพอดี ทางรัฐบาลเวียดนามจึงประกาศว่า โฮจิมินห์ เสียชีวิตในวันที่ 3 กันยายาน 1969 แทนเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการเฉลิมฉลองวันชาติ

สุสานโฮจิมินห์ แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ โฮจิมินห์ และเพื่อให้ชาวเวียดนามทุกคนได้เข้ามาคารวะท่านเพราะชาวเวียดนามต่างยึดถือ ว่าตนเองเป็น “บุตรหลานของบั๊กโฮ” กันทุกคน ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าถือ กล้อง โทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต่าง ๆ เข้าไปภายในสุสาน ผู้ที่เข้าเยี่ยมคารวะบั๊กโฮ ในสุสานต้องฝากกระเป๋า กล้อง และสิ่งของต่าง ๆ กับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปภายในสุสานและสามารถรับคืนได้หลังจากออกจากสุสาน การเข้าชมสุสานโฮจิมินห์นั้น จ่ายค่าธรรม เนียมเพียงครั้งเดียว และจะเข้าชม ทำเนียบประธานาธิบดี และ บ้านพักโฮจิมินห์ที่อยู่ถัดไปได้ด้วย โดยนักท่องเที่ยว ต้องเข้าทางสุสานโฮจิมินห์ และออกทางบ้านพักโฮจิมินห์ เท่านั้น ไม่สามารถเดินย้อนสวนทางได้ และช่วงตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน – 1 พฤษจิกายน ของทุกปี ไม่สามารถเข้าชม ภายในสุสานได้ เนื่องจากในช่วงเวลานี้จะมีการเอาร่างของ ท่านโฮจิมินห์ อาบน้ำยาที่ทำให้ร่างท่านไม่เน่า ไม่เปื่อย และซ่อมแซมภายในตัวสุสานด้วยสุสานประธานาธิบดี โฮจิมินห์

และทางสุสานยังจะปิดบริการทุกวันจันทร์ และศุกร์ของสัปดาห์เพื่อทำความสะอาดด้วยค่ะ
จากนั้นชม ตึกทำเนียบประธานาธิบดี เป็นตึกสไตล์โคโลเนียล ทาด้วยสีเหลืองทั้งหลัง ปัจจุบันใช้เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง ตั้งอยู่ทางด้าน
หลังขอ งสุสานโฮจิมินห์เป็นอาคารสีเหลืองในสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส สร้างขึ้นในปี 1901 ปัจจุบันเป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง นอกจากความสวยงามของตัวอาคาร ภายในบริเวณยังร่มรื่นด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมส่วนของบ้านพักและที่ทำงานของข้าราชการในยุคก่อน ได้
นำชม บ้านโฮจิมินห์ บ้านพักหลังสุดท้ายของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ที่แสดงถึงความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายและความสมถะของท่าน บ้านหลังเล็กเรียบง่าย และตั้งอยู่อย่างสันโดษริมบ่อน้ำใสหลังทำเนียบประธานาธิบดีคือบ้านพักของโฮ จิมินห์ ที่ท่านเคยพำนักอยู่ที่นี่ในช่วงปี 1985-1969 ตัวบ้านเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง ซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมและสัมผัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ของโฮจิ มินห์สมัยเมื่อท่านเป็นผู้นำประเทศ ไม่ว่าห้องนอน ห้องสมุด ห้องทำงาน มุมที่ท่านชอบนั่งตกปลาในวันว่าง โทรศัพท์ ไม้เท้า แว่นตา สวนผลไม้หลังบ้าน และอีกมากมาย ที่ตั้ง จัตุรัสบาดิงห์ ด้านหลังทำเนียบประธานาธิบดี
ชมเจดีย์เสาเดียว เป็นเจดีย์ไม้อันงดงามตั้งอยู่บนเสาหินต้นเดียวกลางสระน้ำ สร้างขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญูแก่เจ้าแม่กวนอิมที่ทรงประธานโอรสให้แก่ พระเจ้าหลีไพไต ตามพระสุบินของพระองค์ สร้างขึ้นโดยบัญชาการของกษัตริย์หลีไทตง เมื่อปี 1409 ด้วยพระองค์ทรงนิมิตเห็นเจ้าแม่กวนอิมประทับอยู่ในดอกบัว แล้วส่งทารกชายในอ้อมกอดให้พระองค์ หลังจากนั้นไม่นานพระชายาของพระองค์ก็ทรงให้กำเนิดพระโอรส กษัตริย์เลไทโตจึงมีรบสั่งให้สร้างเจดีย์ทรงดอกบัวบานเสาต้นเดียวกลางสระบัว ขึ้น เพื่อแสดงความคาราวะต่อเจ้าแม่ ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ชื่อเสียงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์ก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่มาอธิษฐานขอให้ได้ลูกชายนั่นเอง
หลังจากนั้นนำทุกท่านไปชมทะเลสาบคืนดาบ และ วัดหง็อกเซิน หรือที่เรียกกันว่า วัดเนินหยก อยู่ริมทะเลสาบบนเกาะหยก ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ สามารถข้ามจากฝั่งไปยังวัดโดยข้ามสะพานเทฮุก หรือ สะพานแสงอาทิตย์ มีสีแดงสดใสถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงฮานอย นิยมมาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกกันเสมอ และมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถได้อิสระแก่ประเทศแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์แล้วหายไปใน ทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า “ทะเลสาบคืนดาบ”
ฮานอย เคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 1553 มีอายุ 1,000 ปี ซึ่งเป็นปีที่จักรพรรดิ์เลไทโต ทรงสถาปนาพระราชวังทังลองขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้ ตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงชื่อเมืองอีกหลายครั้ง ฮานอย แปลว่า เมืองบนฝั่งโค้งของแม่น้ำ นับเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดเล็กที่มีความสวยงามมากตลอดสองฟากถนนเราสามารถ เห็นตึกสไตล์โคโลเนียลอยู่เรียงรายสองข้างทาง
ฮานอย ในภาษาเวียดนาม ฮา แปลว่า แม่น้ำ และ นอย แปลว่า ข้างใน ฮานอยตั้งอยู่ใจกลางสันดอนลุ่มแม่น้ำแดงในภาคเหนือของประเทศ มีทะเลสาบน้อยใหญ่ถึง 18 แห่ง มีทะเลสาบประจมเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด และมีทะเลสาบใจกลางกรุงที่ขึ้นชื่ออย่าง โฮฮว่านเกี๋ยม นับเป็นเมืองหลวงขนาดเล็กที่มีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองหลวงของประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย ดังนั้นเมื่อคุณเดินทางมาถึงฮานอยจุดแรกที่ควรไม่ควรพลาดคือการไปริ่มต้นที่ ทะเลสาบฮว่าเกี๋ยม ซึ่งเป็นย่านการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มีถนนสายเล็กๆ 36 สายตัดสลับกันไปมา ชาวเวียตนามเรียกถนนสายนี้ว่า บาเมื่อยซัวโฟเฟือง แปลว่า36 ถนน ชาวต่างชาติจะรู้จักกันในชื่อ โอลด์ควอเตอร์ หรือถนน 36 สาย บรรยาศของตลาดนี้คล้ายกับเยาวราชในประเทศไทย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งโรงแรม เกสต์เฮาส์ บริษัทนำเที่ยว ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นย่านเก่าในเมืองฮานอย และตอนนี้เชิญทุกท่านช็อปปิ้งตามอัธยาศัยบริเวณถนน 36 สาย แห่งนี้ได้เลยค่ะ เมื่อได้ของฝาก ของที่ระลึก ตามต้องการแล้วก็ไปรับประทารอาหารกลางวันกันเลยค่ะ
ร้านอาหาร SEN เป็นร้านอาหารบุฟเฟ่ห์นานาชาติ ที่มีอาหารนับ 200 ชนิด ให้ทุกท่านได้เลือกทานกันตามใจชอบเลยค่ะ เมื่อหิวแล้วก็ลุยได้เลยค่ะ เมื่ออิ่มท้องกันแล้วด้านหน้าร้านอาหารก็จะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกของ เวียดนามนะค่ะ ท่านใดที่ยังได้ของฝากไม่ครบ พอมีเวลาเหลือให้ได้จับจ่ายกลับไปฝากทางบ้านได้ต่อเลยค่ะ
เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ต้องเดินทางไปยังสนามบินนอยไบ ของฮานอยแล้วนะค่ะ ได้เวลาอำลาเมืองฮานอย และโบกมือบ๊าย บาย ประเทศเวียดนามแล้ว จากตัวฮานอยไปถึงสนามบินนอยไบ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ป้าถาวร ไกด์เวียดนามของเราก็ได้กล่าวขอบคุณและกล่าวคำอำลากับคณะของเรา ในระหว่างนี้แอน ซึ่งเป็นหัวหน้าทัวร์และตัวแทนของบริษัท SPiRiT Of The World ก็ ขอกล่าวขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ให้โอกาสทางบริษัทของเราได้ให้บริการกับทุก ท่านด้วยนะค่ะ และหวังว่าจะมีโอกาสได้ให้บริการกับทุกท่านในครั้งต่อไปด้วย ในโปรแกรมต่อไป ท่านใดสนใจจะท่องเที่ยวในประเทศไหน สามารถเลือกใช้บริการกับ AGENT ใกล้บ้านท่านได้เลยค่ะ หรือติดตามที่ www.sprtour.com ของเราได้เลยค่ะ
พอถึงสนามบินป้าถาวรและแอน ก็นำทุกท่านไป Check In และโหลดกระเป๋าสัมภาระ เสร็จแล้วก็ต้องอำลาป้าถาวรแล้วเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพกันค่ะ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที ก็จะถึงกรุงเทพแล้วนะค่ะ หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ออกมารับกระเป๋าตรวจสอบสิ่งของมีค่า ละของฝาก ที่ระลึก เมื่อได้ครบแล้วก็ต้องอำลาคณะทุกท่านนะค่ะ ขอให้เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ …ขอบพระคุณค่ะ…
——————————————————————————-


ที่มา - http://sprtour.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น